“ขอบคุณพี่นะ” เหลิงหยุนฉีรู้สึกว่าแม้แต่เสียงพูดของตัวเองยังฟังดูเหม่อลอยเล็กน้อย
ชาติก่อนพ่อแม่เธอจากไปเร็ว ตั้งแต่นั้นมาก็ใช้ชีวิตกับคุณตามาโดยตลอด ทว่า ด้วยความที่คุณตายุ่งกับงานที่บริษัท ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาดูแลเธอมากนัก มีเพียงเรื่องเรียนเท่านั้นที่ท่านค่อนข้างจะเคร่งครัดกับเธอ
สำหรับเธอ คำพูดที่คุณตามักจะพูดกับเธอมากที่สุด ก็คือ “พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่งตนเอง” หลังจากนั้น เธอเองก็ตั้งใจเรียนจนประสบความสำเร็จ จึงสามารถทำให้คนอย่างเซียวหรานสะดุดตากับความสามารถในการสร้างขุมทรัพย์ของเธอขนาดนี้
คราวนี้เธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะโชคดีเหมือนตกถังน้ำตาลแบบนี้
อย่าว่าแต่คนในครอบครัวที่มีความสมพันธ์ใกล้ชิดกันเลย แม้แต่เหลิงยี่ลูกพี่ลูกน้องเธอคนนี้เองก็ยังมอบของขวัญวันเกิดแสนหรูหราข้ามมหาสมุทรให้เธอโดยเฉพาะ
จู่ ๆเธอก็รู้สึกว่าถ้าครั้งหน้าเซียวหรานอยู่ต่อหน้าเธอเมื่อไหร่ เธอยังสามารถแซะเรื่องที่ผ่านมากับเขาได้แรงกว่านี้!
เพราะเธอมีความมั่นใจแบบนี้ได้โดยสิ้นเชิง!
ดูเหมือนว่าเหลิงยี่จะมีงานต้องทำ เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะต้องจำใจวางสายไป
จนถึงตอนนี้ เหลิงหยุนฉีถึงเพิ่งสังเกตว่าจู่ ๆรอบข้างก็พลันเงียบสงบลงไม่น้อย ทุกคนต่างมองเธอด้วยแววตาที่บอกไม่ถูก
เพราะเหลิงยี่เองก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาของเมืองหลวงในตอนนี้ ปกติมักจะถ่อมตัวไม่ค่อยชอบทำตัวเป็นจุดสนใจ แต่กับเหลิงหยุนฉี กลับผิดแปลกไปจากปกติ ถึงกับจุดดอกไม้ไฟให้เธอเต็มท้องฟ้า
ณ ตอนนี้ ในใจทุกคนต่างมีเพียงความคิดเดียวกัน---บ้านนี้รักและโอ๋เด็กผู้หญิงคนนี้แบบสุดโต่งจริงๆ
ทว่า ไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเห็นภาพที่เหลิงหยุนฉีได้รับความรักและความเอ็นดูมากมายแบบนี้
โดยเฉพาะเหล่าคุณหนูผู้ดีที่แต่งตัวหรูหราสวมชุดแบรนด์ดังของเมืองนอก พวกเธอต่างเป็นลูกสาวตระกูลดังในเมืองหลวง ถึงไปออกงานแถลงข่าว ดาราหญิงเห็นแล้วยังต้องถอยห่างสามฉื่อ กลัวว่าตนจะถูกกลบกลืน
ในฐานะลูกสาวตระกูลไฮโซ พวกเธอถูกเลี้ยงแบบตามใจมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ ท่วงท่า ก็ยังไม่เคยถูกใครแย่งซีนแบบนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายตาที่เฉียวหยู่โม่มองมาที่เหลิงหยุนฉีเป็นครั้งคราว พวกเธอฝืนทนมาครึ่งค่ำคืน จนตอนนี้ก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
“เหอะ เมื่อกี้เพิ่งพูดคำพูดสวยหรูไปแท้ๆ ว่าจะเรียนรู้จากคนอื่น นี่ยังไม่ทันได้เข้าวงการธุรกิจเลย ก็เล่นใหญ่โอเวอร์ขนาดนี้ ถ้าจากนี้ไปไม่มีผลงานอะไรแล้วล่ะก็ ลองคิดเรื่องในวันนี้แล้วก็คงจะตลกมากจริงๆ”
“นั่นสิ ที่บ้านฉันสอนฉันมาตลอด ว่าคนเราต้องรู้จักวางตัวถ่อมตน แต่ทำงานให้โดดเด่น”
“ก็แค่งานเลี้ยงวันเกิด ไม่เห็นต้องฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองขนาดนี้ ฉันว่านะ ยังไงคนเราก็ควรมีจิตใจเมตตา บริจาคให้ชาวเขาชาวดอยที่เขายากจนบ่อยๆ นี่ต่างหากคือเรื่องที่เราควรทำ”
ข่าวลือหากถูกเล่าลือโดยคนมากมายก็จะกลายเป็นเรื่องจริงไปโดยปริยาย
พูดได้ว่า ความอิจฉาริษยาของผู้หญิง ไม่ว่าจะอยู่ในวงการไหน ก็ไม่ต่างกัน
รอยยิ้มบนหน้าของเหลิงหยุนฉีค่อยๆจางลง วินาทีถัดมา เธอหันหัวไปมองกลุ่มคนที่พูดจาเหน็บแนมเงียบๆ
ทั้งที่ตอนยกยิ้มยังมีแววสดใส ทว่าตอนนี้ เส้นผมสีดำสยายลงบนบ่า สายตาพลันเผยแววเยือกเย็น ฉับพลันนั้น ดูแฝงความงดงามที่บอกไม่ถูก ทำให้คนเหมือนรู้สึกถูกกดหัว!
“เพราะฉะนั้น พวกคุณบริจาคเงินให้คนยากจนจนต้องนั่งรถเมล์ทุกวัน? หรือหาเงินได้เป็นกองเงินกองทองอย่างประสบความสำเร็จแล้ว ก็เลยมาสอนฉันว่าควรทำตัวยังไงถึงที่นี่?”
สิ้นเสียง เหล่าคุณหนูที่วางมาดผู้ดีต่างเบิกตาโพลงอ้าปากค้าง ถูกแซะจนแทบกรี๊ดออกมา
ทว่า พวกเธอยังไม่ทันได้ปริปาก พวกคุณชายกลุ่มเล็กที่อยู่ข้างๆก็ระเบิดเสียงหัวเราะกันอย่างไม่ไว้หน้า!
“พวกหล่อนนั่งรถเมล์เป็นกันซะที่ไหน เป็นเพราะรถตัวเองเทียบกับลัมโบร์กีนีเธอไม่ติดต่างหาก ก็เลยหมั่นไส้กันจนกัดฟันกรอดไง!”
“ถ้าจะเทียบเรื่องจิตใจเมตตา งั้นจะใส่ชุดราตรีมาทำไม แน่จริงก็ใส่ชุดกีฬามาทีเดียวเลยสิ แซะทำเพื่ออะไร!”
“แต่ละเรื่องมันต้องแยกกัน ถึงฉันจะอิจฉา แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นริษยาเสียหน่อย! เหลิงหยุนฉี ว่างๆก็มาที่สโมสรซุปเปอร์คาร์พวกฉันสิ ขอพึ่งบารมีเธอ ลองรถดูหน่อยได้หรือเปล่า?”
เหลิงหยุนฉีหันกลับไปมอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่เป็นนางร้าย เอ๊ย! นางเอก