ตอนที่ 10 บรรพจารย์ที่มาจากเมืองเสี่ยวฉือผู้นั้น
“คลื่นปราณฟ้าประทาน รากวิญญาณมานะสร้าง ? ! ”
เมื่อทุกคนได้ยินที่นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้นมา สีหน้าต่างก็เคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้งแต่ละคนดูสับสนจนฉากนั้นเงียบลงไป
พวกเขาสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองนักพรตฉางเสวียนที่กำลังมีท่าทีคาดเดาได้ยากอีกครั้ง
แม้จะมิเคยได้ยินคำกล่าวเช่นนี้มาก่อน แต่คำกล่าวนี้มิมีทางเรียบง่ายดังที่เอ่ยออกมาเป็นแน่!
“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ที่ท่านพูดมาหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
เวลานี้เป็นนักพรตหยวนเจี้ยนที่เอ่ยถามออกมาก่อน ส่วนคนอื่นต่างพยักหน้าตาม ๆ กัน
เพราะในหมู่ของพวกเขามิว่าจะเป็นความแตกฉานในวิถีเซียนหรือประสบการณ์ นักพรตฉางเสวียนต่างก็อยู่เหนือพวกเขาทุกด้าน
ขณะนี้ นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับท่าทีเคร่งขรึมก่อนจะค่อย ๆ ลดมือลง
“ที่เรียกว่าคลื่นปราณฟ้าประทาน แท้จริงแล้วคือเมื่อนักปราชญ์บำเพ็ญเพียรถึงระดับหนึ่ง เมื่อนั้นก็จะสะท้อนกับวิถีแห่งเต๋า จนก่อกำเนิดคลื่นปราณฟ้าประทานขึ้นในร่าง” นักพรตฉางเสวียนอธิบายออกมา
หลังจากได้ยิน นักพรตชิงเย่ก็อดที่จะทอดถอนใจมิได้ “เช่นนั้นแล้ว ผู้ที่สามารถกำเนิดคลื่นปราณฟ้าประทานภายในกายได้ ก็ต้องเป็นยอดคนแห่งแดนถ้ำสวรรค์น่ะสิ ? ”
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าแรง ๆ
ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งหมดเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและหวาดกลัว
เรื่องนี้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้จริง ๆ เมืองเสี่ยวฉือได้รับของขวัญจากยอดคนท่านหนึ่ง ยอดคนท่านนี้อาจจะเป็นปราชญ์แห่งเต๋า ไม่ก็ขงจื๊อ หรืออาจจะเป็นยอดคนที่บำเพ็ญทั้งวิถีแห่งเต๋าและขงจื๊อก็ได้
แต่ทว่าลู่อู๋ซวงกลับมิได้แสดงท่าทีอะไรออกมามากนัก เพียงแค่แปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น
‘ก่อนหน้านี้ข้าก็พอจะคาดเดาไว้แล้วว่าเถ้าแก่ท่านนั้นจะต้องเป็นยอดคนอย่างแน่นอน แต่คิดมิถึงว่า แม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าคงจะประเมินการฝึกตนของผู้อาวุโสท่านนั้นต่ำเกินไปเสียแล้ว ! ’ ลู่อู๋ซวงลอบถอนหายใจเบา ๆ ออกมา
ใบหน้านวลใสปรากฏความยินดีขึ้น แต่มิมีใครทันสังเกตเห็น เพราะก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสท่านนั้นอนุญาตให้นางสามารถไปขอคำชี้แนะที่เมืองเสี่ยวฉือได้ตลอดเวลา ถ้าหากเป็นเช่นนั้น การไปเมืองเสี่ยวฉือครั้งนี้ สำหรับนางแล้วมิเพียงแต่ได้ของล้ำค่าอย่างภาพอักษรพู่กันที่มีเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่นับอนันต์แล้ว มิหนำซ้ำผู้อาวุโสท่านนั้นยังอนุญาตให้นางไปขอคำชี้แนะได้ตลอดเวลาอีกด้วย เกรงว่านี่คงจะเป็นโชคดีที่สุดตั้งแต่นางบำเพ็ญตนมา รวมถึงในภายภาคหน้าอีกด้วย !
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก คาดมิถึงว่ายอดคนท่านนี้จะเดินทางผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเรา แต่พวกเรากลับมิมีใครรู้เลย”
“ใช่ หากรู้ว่ามียอดคนเช่นนี้เดินทางผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเรา หากข้าได้ยอดคนที่เก่งกาจผู้นี้ชี้แนะสักเล็กน้อยล่ะก็ ชีวิตนี้ข้าคงมิปรารถนาสิ่งใดอีกแล้ว”
“ศิษย์น้อง ยอดคนเช่นนี้มักมีนิสัยแปลกประหลาด ต่อให้พบเจอก็มิอาจร้องขอได้ ฉะนั้นเจ้าอย่าได้หวังนักเลย”
“ใช่แล้ว บางทีผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ อาจมีเพียงมิกี่คนที่กล้าอยู่ต่อหน้าเขา เขาจึงมิเห็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราอยู่ในสายตาก็ได้”
“จริงสิ ศิษย์พี่ฉางเสวียน แล้วที่ท่านพูดว่ารากวิญญาณมานะสร้างนี่มันหมายความว่าเช่นไรกัน ? ”
เวลานี้ได้มีคนตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง
นักพรตฉางเสวียนยังคงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะอธิบายด้วยเสียงราบเรียบว่า “ง่ายมาก เพราะความหมายก็เหมือนกับชื่อเรียก ศิษย์จากเมืองเสี่ยวฉือเหล่านี้ได้ดูดซับคลื่นปราณฟ้าประทาน จึงทำให้รากวิญญาณภายในร่างเกิดการเปลี่ยนแปลง”
“รากวิญญาณมานะสร้างคือการดูดซับคลื่นปราณฟ้าประทานที่มากพอจนเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้รากวิญญาณของทุกคนเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณชั้นยอดขึ้นมา เช่นนี้ยอดคนท่านนั้นจะน่ากลัวเพียงใดกันแน่นะ ! ”
ได้ยินดังนั้น ดวงตาของนักพรตจิ่วจวีก็ถึงกับเบิกโพลง ใบหน้าชราที่ซูบผอมเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
คนอื่น ๆ เมื่อได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ต่างก็หันมามองหน้ากันอย่างห้ามมิอยู่ สีหน้าแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
แต่ผู้อ่อนอาวุโสอย่างลู่อู๋ซวงกลับมีท่าทีตื่นเต้น และลอบยินดีอยู่ภายในใจ
นางรู้ดีว่ายิ่งยอดคนท่านนี้น่ากลัวเพียงใด โอกาสที่นางได้รับก็ยิ่งมิอาจประเมินค่าได้เพียงนั้น
‘มิได้ ๆ ข้าจะต้องรีบไปหาผู้อาวุโสท่านนั้น หากวันใดวันหนึ่งเขามิอยากอยู่ที่เล็ก ๆ อย่างเมืองเสี่ยวฉือแล้วจากไปกะทันหัน เช่นนั้นก็เท่ากับข้าพลาดโอกาสดีไปน่ะสิ และอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ ? ’
ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นของลู่อู๋ซวงฉายแววแน่วแน่ขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด
“คิดมิถึงว่าโลกนี้จะยังมีสิ่งอัศจรรย์เช่นนี้อยู่อีก เพียงแค่คลื่นปราณฟ้าประทานก็สามารถหล่อเลี้ยงให้เกิดศิษย์อัจฉริยะได้มากมายถึงเพียงนี้ ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน