เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 102

ตอนที่ 102 นั่นเป็น… ร่างเดิมของจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำเยี่ยงนั้นหรือ ?

ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสของสำนักบำเพ็ญเพียรเลื่องชื่อในจงหยวน กำลังรวมตัวกันและหารืออยู่บนท้องฟ้าห่างจากเมืองเสี่ยวฉือกว่าสิบลี้

เนื่องด้วยไอพลังที่แผ่ออกมาเบื้องหน้านั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก จนแม้แต่ผู้ที่มีตบะบารมีสูงส่งเช่นพวกเขา ยังทำได้เพียงหยุดมองอยู่ไกล ๆ เท่านั้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไปมิถึงครึ่งก้านธูป ไอพลังที่ทำให้พวกเขาวิตกกังวลก็มลายหายไปในอากาศ

“ไอพลังน่ากลัวนั่นหายไปแล้ว ! ”

ระหว่างที่เหล่าผู้อาวุโสของสำนักต่าง ๆ กำลังเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวก็ได้เอ่ยขึ้น

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวถือเป็นสำนักบำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งแห่งจงหยวน ตบะบารมีของเจ้าสำนักต้าหลัวจึงสูงกว่าผู้ใด

เช่นนั้นหลังจากการต่อสู้เบื้องหน้าจบลง เขาจึงรับรู้ได้ก่อนใคร

‘จบแล้วงั้นหรือ ? ’

เพียงพริบตาทุกคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และต่างก็กำลังคิดไปต่าง ๆ นานา

พวกเขารู้ดีว่าเมื่อบำเพ็ญเพียรถึงระดับชั้นที่สูงเช่นพวกเขาแล้ว หากเกิดการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับคนที่มีตะบะระดับเดียวกัน การต้องต่อสู้ย่อมกินเวลายาวนานทั้งวันทั้งคืน หรืออาจใช้เวลาหลายวันจนถึงขั้นเป็นเดือนเลยก็มี

แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปได้มินาน การต่อสู้ระหว่างยอดผู้แข็งแกร่งกลับจบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

จากไอปีศาจโบราณก่อนหน้านี้ หมายความว่าจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำจะต้องใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่างเป็นแน่

ทว่าผู้แข็งแกร่งทั้งสองเปิดศึกเพียงมินาน จ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำกลับถูกบีบคั้นได้ถึงเพียงนี้

จากสถานการณ์ในตอนนี้ก็พออธิบายได้แล้วว่า คู่ต่อสู้ของจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำนั้นน่ากลัวเพียงใด

เวลาผ่านไปยังมิถึงครึ่งก้านธูป การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงเสียแล้ว

นี่มิเรียกว่าบดขยี้แล้วจะเรียกว่าอะไรอีก ?

หรือว่าระหว่างที่ทั้งสองประมือกันอยู่นั้น พบว่าอีกฝ่ายเป็นคนรู้จักกันมาก่อน

คิดถึงตรงนี้เหล่าผู้อาวุโสก็อดมิได้ที่จะมองหน้ากันอีกครั้ง

ขณะนั้นเองเจ้าสำนักหยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ ก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย และหันไปยิ้มให้แก่เจ้าสำนักต้าหลัว “พี่ใหญ่ ในบรรดาพวกเราท่านมีตบะบารมีสูงส่งที่สุด ท่านลองไปตรวจสอบสถานการณ์เบื้องหน้าดูดีหรือไม่ ว่าเป็นเช่นไรบ้าง ? ”

“พี่ต้วนพูดมามีเหตุผล”

ต้วนฉางเต๋อกล่าวจบ ประมุขนิกายกระดูกเหล็กก็ขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยกับเจ้าสำนักต้าหลัวด้วยท่าทางจริงจังว่า “เห็นได้ชัดว่าผู้ที่จ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำประมือด้วย จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายอยู่เป็นแน่”

“อีกทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวยังเป็นผู้นำของสำนักบำเพ็ญเพียรต่าง ๆ ในจงหยวน พี่หลัวเองก็มีความเก่งกาจ ครอบครองเคล็ดวิชาลับมากมาย หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน”

พูดตรงนี้ประมุขนิกายกระดูกเหล็กก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ทุกคนคิดเช่นนั้นหรือไม่ หากให้พูดตามตรงข้าก็มิมีสิ่งใดคัดค้าน”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน และมิมีสิ่งใดคัดค้านด้วย”

“ใช่แล้ว เท่าที่ข้ารู้มา ในศึกที่มนุษย์สู้กับเผ่าปีศาจ อดีตเจ้าสำนักต้าหลัวท่านนั้นได้ใช้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัว เอาชนะหกจ้าวปีศาจอันยิ่งใหญ่ได้โดยลำพัง ราวกับเทพสงครามแห่งยุคก็มิปาน”

“มิเพียงเท่านั้น แม้ศึกครานั้นจะผ่านมานับล้านปีแล้ว แต่ในสายตาของข้า ความเก่งกาจของเจ้าสำนักคนปัจจุบันก็มิได้ด้อยไปกว่าอดีตเจ้าสำนักแต่อย่างใด”

“ในเมื่อทุกคนคิดเช่นนั้นแล้วล่ะก็ พวกเราก็เอาตามนี้ก็แล้วกัน”

เจ้าสำนัก ประมุขนิกาย และเจ้าหอคนอื่น ๆ ต่างสบตากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย

แต่เจ้าสำนักต้าหลัวที่ได้ยินคำพูดนี้ กลับมิได้รู้สึกดีใจแต่อย่างใด

ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกชอบเอาเปรียบผู้อื่น โดยเฉพาะเจ้าสำนักหยินหยางต้วนฉางเต๋อที่ชอบเป็นตัวตั้งตัวตีนั่น !

ยามปกติ ตาเฒ่าผู้นี้ชอบป่าวประกาศว่าตบะบารมีของตนอยู่เหนือเจ้าสำนักต้าหลัว ภายใต้การนำของเขา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางสามารถขึ้นมาอยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน

แต่บัดนี้ตาเฒ่าผู้นี้กลับพลิกลิ้นบอกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวเป็นอันดับหนึ่งในจงหยวนเสียได้

มิหนำซ้ำยังกล้ายอมรับต่อหน้าผู้คนว่าตบะบารมีของตนนั้นสู้เจ้าสำนักต้าหลัวมิได้ หาได้มีความละอายแม้แต่น้อยไม่

และแม้ว่าเจ้าสำนักต้าหลัวจะบำเพ็ญเพียรมาเกือบห้าพันปี แต่ก็มิได้แก่จนเลอะเลือน

ย่อมต้องเข้าใจดีว่าที่ตาเฒ่าต้วนฉางเต๋อเป็นตัวตั้งตัวตีเช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่

‘อยากให้ข้าเสียสละตัวเองเพื่อเปิดทางให้ล่ะมิว่า’

‘แต่ผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายบนโลกมนุษย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีนิสัยประหลาด’

‘หากยอดฝีมือที่จัดการกับจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำผู้นี้กำลังโมโหอยู่’

‘แล้วข้าดันทะเล่อทะล่าเข้าไป’

‘ถึงตอนนั้น อาจจะมิได้มีเพียงข้าผู้เดียวที่จะต้องพบกับหายนะ แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวเองอาจจะติดร่างแหไปด้วยก็เป็นได้’

คิดถึงตรงนี้แม้แต่ผู้ที่มีนิสัยอ่อนโยนอยู่เป็นนิจเช่นเจ้าสำนักต้าหลัว ยังอดมิได้ที่จะโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ก่อนจะถลึงตาใส่คนชอบเสี้ยมอย่างต้วนฉางเต๋อ

ขณะนั้นเจ้าสำนักต้าหลัวที่กำลังถูกทุกคนผลักให้ต้องไปยืนริมหน้าผานั้น พลันมีประกายบางอย่างในดวงตาแวบขึ้นมา

“ในเมื่อทุกท่านเอ่ยเช่นนี้ ข้าจะไปดูเหตุการณ์เบื้องหน้าให้ก่อน แต่ว่า…”

เอ่ยเท่านั้นเจ้าสำนักต้าหลัวก็เงียบลง ก่อนจะปรายตามองประมุขนิกายกระดูกเหล็ก พร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างเรียบเรื่อยว่า “ทุกท่านคงทราบดีว่าผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายบนโลกมนุษย์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีนิสัยแปลกประหลาด”

“เพื่อป้องกันเหตุมิคาดฝัน ข้าอยากจะขอยืมวัชระหุนหยวนของนิกายกระดูกเหล็ก เพื่อปกปิดไอพลังบนกายข้า ป้องกันมิให้ยอดฝีมือท่านนั้นพบเข้า”

เอ่ยถึงตรงนี้ เจ้าสำนักต้าหลัวก็หันไปมองต้วนฉางเต๋อที่กำลังยิ้มอย่างสาสมใจอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “และยังมีกระจกหยินหยางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางอีกหนึ่งสิ่งด้วย เพื่อป้องกันหากเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะได้ล่าถอยอย่างทันท่วงที”

“อะไรนะ ! ”

ได้ยินดังนั้นประมุขนิกายกระดูกเหล็กและเจ้าสำนักหยินหยางต้วนฉางเต๋อก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปแทบจะทันที

สมบัติโบราณสองชิ้นนี้ถือเป็นยอดสมบัติของทั้งสองสำนัก มิเคยให้คนภายนอกเห็นมาก่อน

แต่บัดนี้เจ้าสำนักต้าหลัวกลับเอ่ยปากหยิบยืม นี่มันเป็นไปมิได้เด็ดขาด

มุมปากของเจ้าสำนักต้าหลัวโค้งขึ้นเล็กน้อย พลางยักไหล่พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่านคงสัมผัสถึงไอพลังเมื่อครู่แล้ว หากข้ามิมีสมบัติโบราณสองชิ้นนี้ติดตัวไปด้วย เช่นนั้นข้าก็คงมิอาจช่วยได้จริง ๆ ”

สิ้นเสียง ประมุขนิกายกระดูกเหล็กและเจ้าสำนักหยินหยางก็มีสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาในทันใด ท่าทางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ตาเฒ่าผู้นี้ตั้งใจเอาคืนพวกเขาสองคนชัด ๆ

เมื่อเห็นประมุขนิกายกระดูกเหล็กและเจ้าสำนักหยินหยางต่างก็นิ่งเงียบ ประมุขนิกายหมื่นกระบี่จึงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เจ้าสำนักต้าหลัว ข้าจะให้ท่านยืมสมบัติโบราณของนิกายหมื่นกระบี่ก็แล้วกัน”

เจ้าสำนักต้าหลัวโบกมือไปมา พลางกล่าวว่า “พี่เต๋า ขอบคุณท่านมาก แต่สมบัติโบราณของนิกายหมื่นกระบี่มิได้มีประโยชน์ต่อข้า”

พลันรอบข้างก็เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านเบา ๆ ที่ข้างหูเท่านั้น

หลังจากนิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ต้วนฉางเต๋อก็กวาดตามองแววตาแปลก ๆ ของทุกคน ก่อนจะเพ่งสมาธิแล้วหยิบกระจกทองแดงชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ แล้วมอบให้แก่เจ้าสำนักต้าหลัว

“เจ้าสำนักตาหลัวข้าขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่า หากเจ้าทำกระจกหยินหยางนี้หายไป ข้าสาบานว่าจะมิปล่อยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวของเจ้าไปแน่”

ต้วนฉางเต๋อเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

เจ้าสำนักต้าหลัวส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมยกยิ้มออกมา “ข้ามิเคยรู้จักยอดฝีมือท่านนั้นมาก่อน อีกทั้งมิรู้นิสัยของเขา เช่นนั้นข้าจึงมิกล้ารับประกันเช่นกัน”

“เจ้า ! ”

ต้วนฉางเต๋อขมวดคิ้วมุ่นทันที ก่อนใช้แววตาดุดันถลึงใส่เจ้าสำนักต้าหลัว

“นี่คือวัชระหุนหยวนของนิกายกระดูกเหล็กของข้า”

เมื่อรู้ว่าเจ้าสำนักต้าหลัวต้องการฉวยโอกาสนี้แก้เผ็ด เช่นนั้นประมุขนิกายกระดูกเหล็กจึงมิได้เอ่ยสิ่งใดให้มากความ เพียงแค่ส่งวัชระที่แผ่ไอพลังโบราณชิ้นหนึ่งให้แก่เจ้าสำนักต้าหลัวเท่านั้น

เจ้าสำนักต้าหลัวจึงรับกระจกหยินหยางและวัชระหุนหยวนมาอย่างมิได้เกรงใจใด ๆ พร้อมกับพยักหน้าให้ทุกคน ก่อนจะเหาะขึ้นทางเหนือไปทันที

เพียงช่วงเวลามิกี่อึดใจ

เจ้าสำนักต้าหลัวที่มือข้างหนึ่งถือวัชระหุนหยวน อีกข้างถือกระจกหยินหยางก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ห่างจากเมืองเสี่ยวฉือไปหลายลี้

และด้วยเคล็ดวิชาลับทำให้ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นศพของคนผู้หนึ่ง ที่คล้ายกับเนินเขาเล็ก ๆ ได้ถนัดตา

ด้วยความตกใจจึงทำให้ร่างของเขาแข็งทื่อราวกับหินในพริบตา

“นั่นเป็น… ร่างเดิมของจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำอย่างนั้นหรือ ? ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน