ตอนที่ 105 รู้วิธีลับมีดจริง ๆ หรือ ?
เมื่อสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของใบหลิวสีทองใบนี้
“สูด ! ”
ราชันทมิฬก็อ้าปากกว้างสูดใบหลิวเข้าไปในปากทันทีอย่างมิลังเล
“พี่ต้นไม้ ท่านมอบวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้ข้าเลยทีเดียว”
ราชันทมิฬฉีกยิ้ม ดวงตาคมเข้มเปล่งประกายระยิบระยับ
วินาทีต่อมาต้นหลิวที่มีชีวิตมานับหลายล้านปี ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกคราว่า
“ราชันทมิฬ จำคำสัญญาของเจ้าไว้ให้ดีล่ะ”
“แม้ข้าจะมิรู้ว่าเหตุใดนายท่านจึงมาพักผ่อนอยู่ที่นี่ ทว่าด้วยตบะบารมีของของนายท่านแล้ว คงกำลังตามหาโอกาสบางอย่างอยู่เป็นแน่ หากมีคนมารบกวนความสงบของนายท่านระหว่างที่ข้าหลับใหลอยู่”
“คงมิต้องบอกหรอกนะว่านายท่านจะลงโทษเจ้าเช่นไร แต่เมื่อใดที่ข้าตื่นขึ้นมา ข้าจะพรากตบะบารมีของเจ้าเสีย และทำให้เจ้ามิอาจบำเพ็ญเพียรได้อีกตลอดกาล”
จากนั้นเสียงลึกลับก็ค่อย ๆ ลอยหายไปในอากาศ
ไอพลังมหัศจรรย์ที่ต้นหลิวต้นนั้นแผ่ออกมาก็มลายหายไปสิ้น
แม้จะมีประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ก็มิอาจตรวจพบพลังปราณใด ๆ อีก
เพียงพริบตาต้นหลิวต้นนี้ก็ดูคล้ายกับต้นไม้เก่าแก่ธรรมดา ๆ ต้นหนึ่งเท่านั้น
นั่นหมายความว่าต้นหลิวที่มีอิทธิฤทธิ์ราวกับเทพต้นนี้ได้เข้าสู่การหลับใหลแล้ว
แต่เวลานี้ราชันทมิฬกลับมิได้รู้สึกตื่นตกใจแต่อย่างใด
เพราะก่อนหน้านี้ขนาดจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำที่บำเพ็ญเพียรมาหลายแสนปี จนเกือบจะบรรลุระดับที่สูงขึ้นไปได้อยู่แล้ว
แต่สุดท้ายกลับถูกต้นหลิวต้นนี้สังหารได้อย่างง่ายดาย
แค่นี้ก็รู้แล้วว่าต้นหลิวที่อาจหาญแข็งข้อกับอัสนีบาตรสวรรค์ผู้นี้ แท้จริงแล้วน่ากลัวเพียงใด
‘พรากตบะบารมี ! ’
‘มิอาจบำเพ็ญเพียรได้อีกตลอดกาล ! ’
ราชันทมิฬคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็พลันรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมา แขนขาเย็นเฉียบราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็งหมื่นปี
“พี่ต้นไม้ ท่านมิควรล้อกันเล่นเช่นนี้นะ ! ”
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป
ราชันทมิฬก็ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับไร้เรี่ยวแรง พร้อมใจที่หวาดหวั่น
ตอนนั้นเองที่ด้านนอกประตูก็มีเสียงเรียกดังขึ้น
“ท่านเย่ ท่านเย่อยู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ ? ”
มินาน เย่ฉางชิงก็เปิดประตูพร้อมกับอุ้มถูสือซานที่ได้ทายาและพันแผลอย่างลวก ๆ ออกมาจากภายในห้อง
“อยู่ขอรับ”
เย่ฉางชิงเปิดประตูออกไปดู
คนที่มาก็คือสตรีวัยกลางคนที่มีแขนขากำยำ สองแก้มคร้ามแดด ดูเป็นคนปากคอเราะร้ายคนหนึ่งเลยทีเดียว
ถูกแล้ว นางก็คือภรรยาของคนขายเนื้อซุนนั่นเอง
คนแซ่เปา
เพียงแต่ปกติคนแซ่เปาที่ดูแข็งแรงผู้นี้ เมื่อพบหน้าเย่ฉางชิง
ใบหน้าคร้ามแดดก็มักจะเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาอยู่เสมอ
เยี่ยงไรเสีย ในสายตาของคนเมืองเสี่ยวฉือ เย่ฉางชิงก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้
อีกทั้งพวกเขาสองสามีภรรยานับแต่แต่งงานมาจวบจนวันนี้ ก็ยังมิได้มีทายาทสืบสกุล หากภายภาคหน้าเกิดมีลูกสาว ก็อยากให้เย่ฉางชิงสอนอ่านเขียนให้นางบ้าง
“ซ้อเปา ท่านมาหาข้ามีธุระอันใดงั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ขณะอุ้มถูสือซานเอาไว้แนบอก
คนแซ่เปาปรายตามองจิ้งจอกน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเย่ฉางชิงเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ท่านเย่ ท่านยังมิทราบใช่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงเลิกคิ้วขึ้น ถามออกมาด้วยความสงสัย “มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือขอรับ ? ”
“มิใช่ ๆ มิได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน