เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 142

ตอนที่ 142 เทียบกันมิติด

‘ใช่แล้ว ! ’

‘เทียบมิติด ! ’

‘มิใช่สิ ! ’

‘มิใช่แค่เทียบมิติด ต้องเรียกว่าเทียบกันมิติดชนิดที่มิเห็นฝุ่น ! ’

เยี่ยนปิงซินมิได้มีความแตกฉานใด ๆ ด้านอักษรพู่กัน เช่นนั้นสิ่งที่นางเห็นล้วนแต่เป็นสิ่งที่รับรู้ด้วยตาเท่านั้น

อาทิภาพอักษรพู่กันของเย่ฉางชิงที่นางเคยเห็นก่อนหน้านี้

ยังมิต้องพูดถึงจิตแท้ของวิถีเต๋ามากมายที่แฝงเอาไว้ภายใน

เพียงแค่มองแวบแรกมิว่าจะเป็นการจัดวางหรือลายเส้น ภาพอักษรพู่กันของเย่ฉางชิงล้วนให้ความรู้สึกถึงพลังและความไหลลื่นมากกว่า

แต่ภาพอักษรพู่กันของบัณฑิตหวางท่านนี้

ตำแหน่งการจัดวางมีความคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมาก ส่วนตัวอักษรก็ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขอยู่

เยี่ยนปิงซินจึงได้ทอดถอนใจออกมาเช่นนั้น

เย่ฉางชิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเยี่ยนปิงซิน ได้ยินเยี่ยนปิงซินเอ่ยถามเช่นนี้ออกมา ก็พยักหน้าให้อย่างพึงพอใจ

ใช่แล้ว แม้จะอายุมากแล้ว อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ แต่ผลงานภาพอักษรพู่กันกลับมิได้โดดเด่นเท่าไรนัก

เยี่ยนปิงซินวิจารณ์และใช้คำว่าเทียบมิติดเช่นนี้ นับว่านางพูดได้ถูกต้องแล้ว

และยิ่งทำให้เย่ฉางชิงอดที่จะลอบดีใจอยู่ลึก ๆ มิได้

ภาพอักษรพู่กันเช่นนี้ยังสามารถทำให้สุภาพชนเหล่านี้ ต่างหลงใหลได้ถึงเพียงนี้

เช่นนั้นหากผลงานของเขาได้ถูกนำมาแสดงบ้าง มิสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง หรือทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยนหรอกหรือ

‘เยี่ยม ! ’

‘เยี่ยมมาก ! ’

‘เยี่ยมจริง ๆ ! ’

‘ในเมื่อไร้รากวิญญาณมิอาจบำเพ็ญเพียรได้ เช่นนั้นก็มิต้องบำเพ็ญเพียรมันแล้ว เป็นเทพแห่งอักษรพู่กันอยู่ในเมืองหลวงนี่แหละ’

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้มุมปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

แต่ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะลอบมองเยี่ยนปิงซิน

เด็กคนนี้แม้จะโง่งมไปหน่อย แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้นางเริ่มมีความรู้ด้านอักษรพู่กันกับเขาบ้างแล้ว

มองเพียงแวบเดียวก็สามารถแยกแยะความแตกต่างของผลงานได้

มิเช่นนั้นจะสามารถวิจารณ์ออกมาอย่างถูกต้องเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?

อย่างที่โบราณว่าไว้ เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง ประตูอีกบานจะเปิดขึ้น

มีเหตุผล

มีเหตุผลยิ่งนัก

“ปิงซิน อย่าเสียมารยาท ! ”

ขณะนั้นเองเยี่ยนจิ่งหงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยเตือนขึ้น

นับจากนี้ต่อไปหวางม่อจะมิมาปรากฏตัวยังหอสายลมจันทราอีก นั่นหมายความว่าภายภาคหน้าก็ยากที่จะได้เห็นผลงานของเขาอีก

ก่อนหน้านี้เยี่ยนจิ่งหงยังมีท่าทางดีใจ เพราะที่ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสได้พบกับนักเขียนพู่กันในตำนานท่านนี้

แต่สิ่งที่เขาคาดมิถึงก็คือ วันนี้กลับเป็นการพบกันคราแรกและอาจจะเป็นคราสุดท้ายเสียแล้ว

เช่นนั้นดูก็รู้แล้วว่าเวลานี้ความรู้สึกของเขานั้นย่ำแย่เพียงใด

และการที่เยี่ยนปิงซินวิจารณ์ออกมาเช่นนี้ ต่อให้อยู่ต่อหน้าท่านเย่และท่านบรรพบุรุษ เขาก็อดมิได้ที่จะเอ่ยปรามออกมา

ขณะเดียวกันบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังยืนเช็ดน้ำตาอยู่ด้านหน้าของเย่ฉางชิง ก็ได้ยินคำวิจารณ์ของเยี่ยนปิงซินเข้าพอดี

มินานบุรุษผู้นั้นก็ได้หันมาถลึงตาใส่เยี่ยนปิงซิน พลางเอ่ยขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “คุณหนูท่านนี้ เมื่อครู่ท่านว่าเยี่ยงไรนะ ? ”

เห็นท่าทางคาดคั้นของบุรุษผู้นั้น เยี่ยนปิงซินที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมีฐานะสูงส่ง จะยอมง่าย ๆ ได้เยี่ยงไร ?

“ข้าบอกว่าภาพอักษรพู่กันของบัณฑิตหวางท่านนี้ดูแล้วยังอ่อนด้อยนัก ! ”

คิ้วเรียวสวยของเยี่ยนปิงซินขมวดเบา ๆ ใบหน้าเย็นชาและเอ่ยขึ้นอย่างมิเกรงกลัว

ทันใดนั้นภายในห้องโถงขนาดใหญ่ก็เงียบกริบลงทันใด

“ขวับ ! ”

ตอนนั้นเองคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเยี่ยนปิงซินเอ่ยออกมาเสียงแข็งเช่นนั้น ต่างก็หันมามองเป็นตาเดียว

แม้แต่หวางม่อที่อยู่บนเวทีก็ได้ยินคำวิจารณ์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน

ตลอดหลายปีมานี้ นี่เป็นคราแรกที่มีคนตั้งข้อสงสัยในผลงานของเขา

อีกทั้งหลายปีมานี้ทุกครั้งที่เขาเขียนอักษรพู่กันต่อหน้าผู้คน เขาจึงตั้งใจทิ้งจุดบกพร่องเอาไว้ เพื่อต้องการให้คนได้ค้นหาข้อพร่องนั้นให้เจอ

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นหลายปีมานี้ทุกครา เขากลับต้องกลับไปมือเปล่า

แต่บัดนี้ในที่สุดก็มีคนพบจุดบกพร่องนั้นแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน