ตอนที่ 200 ถ้ารู้เช่นนี้คงมิแสร้งทำหรอก
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
เย่ฉางชิงก็พบว่าครั้งนี้เหมือนจะสำเร็จได้จริง ๆ แล้ว
หลังจากนั้นมิกี่อึดใจ หินสีดำในมือก็แผ่ไอพลังอันอบอุ่นออกมา
มินานไอลึกลับก็ได้ไหลจากใจกลางฝ่ามือเข้าสู่ภายใน ก่อนจะเคลื่อนไปทั่วทั้งร่างทำให้รู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด
สุดท้ายไอพลังนี้ก็ได้ไหลมารวมอยู่ที่หน้าท้อง ก่อนจะเกิดเป็นแสงสีม่วงหมุนวนราวกับพายุขึ้นมา
ขณะเดียวกัน เมื่อพายุหมุนสีม่วงก่อตัวขึ้น
เย่ฉางชิงก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าทั่วทุกส่วนของร่างกายค่อย ๆ ร้อนขึ้น ราวกับร่างกายเกิดการพัฒนาอย่างประหลาด
ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
วินาทีนี้เย่ฉางชิงมั่นใจแล้วว่า ในที่สุดครานี้เขาก็สามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว
“ฟิ้ว ! ”
ตอนนั้นเองจู่ ๆ เรือนหลังนี้ก็เกิดลมกรรโชกขึ้น
ทันใดนั้นปราณวิญญาณฟ้าดินอันมหาศาลราวกับมหาสมุทร ก็มารวมกันอยู่ที่นี่อย่างมิหยุดยั้ง
ทว่าสิ่งที่เย่ฉางชิงมิรู้ก็คือ
เวลานี้กระแสปราณวิญญาณขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขา เป็นปราณวิญญาณที่แข็งแกร่งและดุดันจนแทบมิอาจทำลายล้างได้ กลับถูกเขาดูดซับไปจนหมด
ฉับพลันก็มีเสียงดังกึกก้อง เพราะปราณวิญญาณฟ้าดินที่ปะทุออกมา
มิเพียงทำให้พวกเยี่ยนปิงซินและถานไถชิงเสวี่ยที่พักอยู่ในจิ่งหลันหยวนตื่นตกใจเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวงอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดปราณวิญญาณฟ้าดินจึงเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเช่นนี้ได้ ? ”
เยี่ยนปิงซินที่กำลังฟังถานไถชิงเสวี่ยดีดพิณอยู่ในศาลา มีสีหน้าตื่นตระหนกพร้อมอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ถานไถชิงเสวี่ยที่รับรู้ถึงทิศทางที่ปราณวิญญาณฟ้าดินเคลื่อนที่ไปได้อย่างชัดเจน จึงใช้มือแตะลงบนสายพิณเพื่อหยุดบรรเลงทันที
“เหมือนว่าปราณวิญญาณฟ้าดินจะเคลื่อนที่ไปทางผู้อาวุโสเย่”
ถานไถชิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นจึงหันไปบอกแก่เยี่ยนปิงซิน
เยี่ยนปิงซินขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิด “มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ข้าถึงมิเคยเห็นท่านเย่บำเพ็ญเพียรมาก่อน ที่แท้เวลาที่เขาบำเพ็ญเพียรนั้นก่อให้เกิดอานุภาพที่รุนแรงถึงเพียงนี้นี่เอง”
ถานไถชิงเสวี่ยมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้อาวุโสเย่มีฝีมือล้ำเลิศ ขณะบำเพ็ญเพียรก่อให้เกิดพลานุภาพรุนแรงเช่นนี้ได้ถือเป็นเรื่องปกติ”
เยี่ยนปิงซินพยักหน้าเห็นด้วย
อีกด้านหนึ่ง
ณ จวนผู้กล้า
เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณฟ้าดินที่เคลื่อนที่อย่างรุนแรง
เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งจวนผู้กล้าที่กำลังตั้งมั่นบำเพ็ญเพียรกันอยู่นั้น ต่างก็จำต้องเดินออกมาจากที่บำเพ็ญเพียรของตน
มินานเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งจวนผู้กล้าก็มารวมตัวกัน ที่หน้าตำหนักโบราณหลังหนึ่ง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ปราณวิญญาณฟ้าดินเคลื่อนที่รุนแรงเช่นนี้ แม้ที่นี่จะวางค่ายกลรวมวิญญาณเอาไว้ ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์”
“หรือว่าราชวงค์ต้าเยี่ยนจะวางค่ายกลรวมวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งที่ มิหนำซ้ำทั้งรูปแบบยังเหนือชั้นกว่าจวนผู้กล้าของเราอีกด้วย ? ”
“หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ คงจะเป็นเช่นนั้น”
“มิน่าจะใช่นะ ท่านอวี๋ยังอยู่จวนผู้กล้าของเรามิใช่หรือ ราชวงค์ต้าเยี่ยนจะหาคนสร้างค่ายกลได้เก่งกว่าท่านอวี๋อีกงั้นหรือ?”
“เป็นไปมิได้ คนสร้างค่ายกลได้มิใช่ผักกาดขาวตามข้างถนน ที่จะหาได้ง่ายปานนั้น”
“เช่นนั้นมันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าทุกคนคงมิสามารถบำเพ็ญเพียรต่อได้กระมัง ? ”
ขณะที่ผู้แข็งแกร่งมากมายของจวนผู้กล้ากำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น หลิวฉางเหอที่สวมชุดคลุมสีเขียวก็เดินออกมาจากด้านในของตำหนักโบราณ
หลิวฉางเหอกวาดสายตามองทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าตำหนัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกล ๆ
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“นี่มิใช่ค่ายกลรวมวิญญาณ ที่ช่วงชิงปราณวิญญาณของที่นี่ไปหรอก”
หลิวฉางเหอเอ่ยอย่างครุ่นคิด “หากข้าเดามิผิดล่ะก็ การที่จู่ ๆ เมืองหลวงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ คงจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสท่านนั้นกระมัง ? ”
‘ผู้อาวุโส ? ’
‘เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสท่านนั้น ? ’
‘สุดท้ายแล้วเป็นผู้อาวุโสท่านใดกัน ถึงทำให้เกิดพลังมหาศาลเช่นนี้ได้ ! ’
ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความสงสัย
“ท่านหลิว ที่ท่านกล่าวถึงเป็นผู้อาวุโสท่านใดกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
บุรุษวัยกลางคนมีใบหน้าเหลี่ยมผู้หนึ่ง ที่ยืนอยู่ด้านข้างของหลิวฉางเหอเอ่ยถามขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน