เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 206

ตอนที่ 206 หลวงจีนเสวียนเต๋อ

“ไปเทือกเขาแดนใต้ ? ”

“ก่อนหน้านี้ข้ากำชับเจ้าเอาไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าหลังจากข้าหลับไปหากมิมีเรื่องสำคัญอย่าได้ปลุกข้าเป็นอันขาด”

เสียงลึกลับมิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกมาเช่นเดิม “ที่เจ้าปลุกข้าขึ้นมา เพียงเพราะเจ้าจะไปเทือกเขาแดนใต้งั้นหรือ ? ”

ราชันทมิฬได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโพลง ท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“พี่ต้นไม้ ท่านมิรู้อะไร การที่นายท่านจะบำเพ็ญเพียรต้องใช้หินหุนหยวน ที่ข้าไปเทือกเขาแดนใต้ครานี้ก็เพื่อไปหาหินหุนหยวนให้นายท่านนะขอรับ”

ราชันทมิฬสารภาพตามตรง

‘หินหุนหยวนแฝงไว้ซึ่งจิตวิญญาณฟ้าดินที่ทรงอำนาจและบริสุทธิ์อย่างมาก ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปแม้จะมีตบะบารมีสูงก็มิอาจกลั่นได้ ในโลกนี้เกรงว่าคงมีเพียงนายท่านเท่านั้นที่สามารถกลั่นของวิเศษเช่นนั้นได้สินะ’

เสียงลึกลับคิดได้เช่นนั้นก็เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้มาว่ามีที่แห่งหนึ่งที่มีหินหุนหยวนอยู่จำนวนมาก แต่ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย แม้เจ้าจะมีตบะบารมีระดับจักรพรรดิปีศาจ เกรงว่าก็มิอาจจะรอดกลับมาได้ ส่วนข้ามีเหตุผลบางอย่างทำให้มิอาจไปจากที่นี่ได้”

ราชันทมิฬ “……”

ผ่านไปชั่วอึดใจ ใบหลิวที่มีสีเขียวราวกับหยกและมีแสงริบหรี่ ก็ร่วงลงมาจากต้นก่อนจะตกลงมาตรงหน้าของราชันทมิฬ

“ราชันทมิฬ ให้เจ้าพกใบหลิวนี้ติดกายเอาไว้”

เสียงลึกลับดังขึ้นอีกครา “ปีศาจเทือกเขาแดนใต้ล้วนมีอายุยืนยาว พลังแข็งแกร่ง หินหุนหยวนนั้นสำคัญมาก หากล่วงเกินผู้แข็งแกร่งที่มีสายเลือดโบราณเข้า เจ้าสามารถนำใบหลิวนี้ออกมาใช้ได้เลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น

“พี่ต้นไม้ ท่านมิต้องห่วง”

ราชันทมิฬเอ่ยพร้อมรอยยิ้มโล่งใจ “ข้ามีภาพราชันทมิฬที่นายท่านมอบให้ เมื่อเข้าไปยังเทือกเขาแดนใต้ต่อให้เป็นจ้าวปีศาจก็มิอาจทำอะไรข้าได้อยู่ดี”

เสียงลึกลับเอ่ยอย่างเนือย ๆ ว่า “ภาพราชันทมิฬเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่นายท่านใช้พลังพิเศษผสานจิตวิญญาณแห่งเต๋าลงไป แต่หาใช่อาวุธสังหารไม่ ใบหลิวใบนี้เทียบเท่ากับพลังโจมตีทั้งหมดของข้า ในยามคับขันจงนำมันออกมา ขอเพียงมิใช่ผู้แข็งแกร่งจริง ๆ ของเผ่าปีศาจสามสี่คนนั้น คนอื่น ๆ จะสามารถสังหารได้ภายในพริบตาอย่างแน่นอน”

“หากมีผู้แข็งแกร่งยื่นมือเข้ามา เจ้าจงบอกพวกเขาไปว่าหากกล้าสังหารเจ้า ภายภาคหน้าข้าจะไปล้างแค้นพวกเขาที่เทือกเขาแดนใต้ด้วยตัวเอง”

ราชันทมิฬได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ “พี่ต้นไม้ ข้าทราบแล้วขอรับ”

และในตอนนั้นเอง กลับเป็นถูสือซานที่รู้สึกตื่นตกใจ

ผู้อาวุโสต้นหลิวท่านนี้มีตบะบารมีแก่กล้าเพียงใดกันแน่นะ !

นางเติบโตในเผ่าจิ้งจอกวิญญาณมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งสายเลือดของนางยังมีสัญญาณว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นจึงได้รับการเอาใจใส่จากท่านบรรพบุรุษอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผู้แข็งแกร่ง ที่เร้นกายอยู่ในหุบเขาสือว่านซานอยู่บ้าง

เช่นนั้นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของเผ่าปีศาจที่ผู้อาวุโสต้นหลิวเอ่ยถึง ย่อมต้องเป็นเหล่าผู้อาวุโสในตำนานพวกนั้นน่ะสิ

แต่สิ่งที่นางคาดมิถึงก็คือ

ผู้อาวุโสต้นหลิวท่านนี้กลับกล้าข่มขู่ผู้อาวุโสในหุบเขาสือว่านซาน

น่ากลัว !

น่ากลัวเกินไปแล้ว !

ช่างน่ากลัวยิ่งนัก !

ยามอิ๋น1 ของคืนนั้น

ร่างเงาสองร่างก็ได้พุ่งออกจากเมืองเสี่ยวฉือ มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาแดนใต้อย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันทางด้านตะวันตกของจงหยวน หรือที่ผู้คนเรียกกันว่า ซีม่อ

ซีม่อถูกขนานนามว่าเป็นเมืองพุทธ เป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนา

แต่เนื่องด้วยจงหยวนเป็นดินแดนแห่งเต๋า เช่นนั้นศาสนาพุทธจึงมิอาจที่จะเผยแพร่เข้ามาในพื้นที่อื่น ๆ ของจงหยวนได้

แน่นอนว่าในสมัยบรรพกาล ศาสนาพุทธเองก็เคยพยายามเผยแพร่เข้ามาในจงหยวนเช่นกัน

เพียงแต่ตอนนั้นได้มีผู้ที่มีความสามารถในลัทธิเต๋าเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

มิว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยกำลังหรือหลักการ ศาสนาพุทธล้วนพ่ายแพ้ให้แก่ลัทธิเต๋า

เช่นนั้นหลวงจีนมากมายของศาสนาพุทธ จึงจำต้องกลับไปยังซีม่ออีกครา

ณ วัดเสี่ยวเหลยอิน ภายในซีม่อ

หลวงจีนที่สวมเสื้อผ้าป่านผู้หนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ชั้นบนสุดของเจดีย์เหลยอิน

บนร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ

ยิ่งกว่านั้นยังมิอาจสัมผัสถึงลมหายใจได้อีกด้วย

เช่นนั้นหากมองดูเพียงผิวเผิน หลวงจีนผู้นี้ราวกับเป็นหินแกะสลักที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นก็มิปาน

โดยนั่งอยู่ทางทิศตะวันตก และมองไปทางทิศตะวันออก

ในตอนนั้นเอง ราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง

“ฟ้าเกิดนิมิตปรากฏ ดูท่าอีกมินานจงหยวนคงจะเกิดกลียุคขึ้นเป็นแน่”

หลังจากสิ้นเสียงที่ฟังดูแหบแห้งเช่นนั้น

ในที่สุดหลวงจีนที่นั่งอยู่ภายในเจดีย์เหลยอินมาพันปีผู้นี้ก็ขยับตัวเสียที

“ฟู่ ! ”

เมื่อร่างของหลวงจีนผู้นี้ขยับตัวน้อย ๆ

ฝุ่นบนร่างของเขาก็เริ่มฟุ้งกระจายออกมา

ขณะเดียวกัน รอบกายของหลวงจีนก็เกิดแสงสีทองเจิดจ้า สัญลักษณ์โบราณปรากฏขึ้นลางเลือน ตะวันสีทองดวงหนึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

หลังจากผ่านไปมิกี่อึดใจ ฝุ่นผงก็หลุดร่วงไปจนหมด เผยให้เห็นใบหน้าเดิมของหลวงจีนผู้นี้ได้ชัดเจนมากขึ้น

ศีรษะโล้น !

ดวงตาอันมีเสน่ห์ !

ใบหน้ากระจ่างใส !

รูปร่างกำยำ !

มองดูคล้ายคนอายุยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น

‘อีกมินานจงหยวนจะเกิดกลียุค ลัทธิเต๋าจะเสื่อมโทรม เป็นเวลาเผยแพร่พุทธศาสนามหายานเข้าสู่จงหยวน เพื่อกอบกู้สรรพสัตว์’

หลวงจีนหนุ่มคิดเช่นนั้นก่อนลุกขึ้นยืน และเดินออกไปทางบันได

จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

ขณะที่หลวงจีนหนุ่มเดินออกมาจากด้านในของเจดีย์เหลยอิน

ก็พบว่ามีหลวงจีนเฒ่าที่มีหนวดและคิ้วสีขาวโพลนผู้หนึ่ง ยืนอยู่หน้าหลวงจีนวัยกลางคนนับสิบคนราวกับรอเขาอยู่นานแล้ว

“อามิตาพุทธ”

“อามิตาพุทธ”

“อามิตาพุทธ”

เมื่อเห็นหลวงจีนหนุ่มปรากฏสู่สายตา

เจ้าอาวาสที่ดูชราภาพและหลวงจีนวัยกลางคนอีกนับสิบคน ก็ได้พนมมือพร้อมกับเอ่ยคำภาวนาออกมาพร้อม ๆ กัน

ใบหน้าของหลวงจีนหนุ่มแฝงด้วยรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับพนมมือขึ้นและเอ่ยคำภาวนาแบบเดียวกันออกมา

เอ่ยจบเจ้าอาวาสก็ได้จ้องมองหลวงจีนหนุ่มรูปนั้น พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้องเสวียนเต๋อ ครานี้นั่งสมาธิภายในเจดีย์เหลยอินถึงพันปี ได้รู้แจ้งสิ่งใดบ้างหรือไม่ ? ”

“เรียนศิษย์พี่ เสวียนเต๋อนั่งสมาธิในเจดีย์เหลยอินมาพันปี เข้าใจพระพุทธศาสนามหายานด้วยหลักเหตุและผล”

ชายหนุ่มนามว่าเสวียนเต๋อ พนมมือทั้งสองข้างขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “บัดนี้ท้องฟ้าปรากฏนิมิต อีกมินานจงหยวนต้องเกิดกลียุค เมื่อแคว้นต่าง ๆ อยู่ในความสับสนอลหม่าน ลัทธิเต๋าจะทำให้ฝ่ายมารผงาดอีกครั้ง และเกิดความวุ่นวายคราใหญ่เป็นแน่”

“ถึงตอนนั้นผู้คนจะเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง เช่นนั้นเสวียนเต๋อจึงจะตัดสินใจนำสาวกทั้งสามร้อยคนไปจงหยวน เพื่อเผยแพร่ศาสนาพุทธ โปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์”

เจ้าอาวาสและหลวงจีนคนอื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยชี้แนะว่า

“ดวงดาวทางทิศตะวันออกเคลื่อนตัว จงหยวนต้องเกิดความโกลาหลคราใหญ่อย่างแน่นอน แต่เยี่ยงไรเสียจงหยวนก็เป็นดินแดนแห่งลัทธิเต๋า อีกอย่างต่อให้ฝ่ายมารผงาดขึ้น ลัทธิเต๋าเกิดความวุ่นวาย ลัทธิเต๋าก็คงมิปล่อยให้ศาสนาพุทธเผยแพร่เข้าสู่จงหยวนได้ง่าย ๆ อยู่ดี”

เอ่ยถึงตรงนี้เจ้าอาวาสก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอีกว่า

“เช่นนั้นการไปในครานี้เจ้าจะต้องพบกับความยากลำบากเช่นกัน การจะเผยแพร่พระพุทธศาสนามหายานเข้าสู่จงหยวน มิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน”

หลวงจีนเฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพนมมือและเอ่ยคำภาวนาว่า “อามิตาพุทธ”

“สิ่งที่ศิษย์พี่กังวล เสวียนเต๋อเองก็ได้ไตร่ตรองดูแล้วเช่นกัน”

เสวียนเต๋อพยักหน้ารับ “แต่ว่าเสวียนเต๋อเข้าใจพุทธศาสนามหายานมากขึ้นแล้ว การไปจงหยวนครานี้ก็เพื่อไปถกหลักการกับสี่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แห่งจงหยวน เชื่อว่าด้วยความเข้าใจในพระพุทธศาสนามหายานของเสวียนเต๋อ จะต้องทำให้ลัทธิเต๋ายอมให้ศาสนาพุทธเผยแพร่เข้าสู่จงหยวนอย่างแน่นอนขอรับ”

หลวงจีนเฒ่าพยักหน้ารับ “ศิษย์น้องเสวียนเต๋อเป็นสาวกของศาสนาพุทธ ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปจงหยวนเถิด”

เสวียนเต๋อเอ่ยต่ออีกว่า “ศิษย์พี่เสวียนฟ่า เสวียนเต๋อเตรียมจะพาสาวกสามร้อยคนมุ่งหน้าสู่จงหยวนพรุ่งนี้ ระหว่างทางข้าจะเผยแพร่พุทธศาสนามหายานที่ข้าได้รู้แจ้งให้แก่ทุกวัดในซีม่อก่อน จากนั้นค่อยเข้าไปยังจงหยวนขอรับ”

“ดี ! ”

1 ยามอิ๋น หมายถึง ช่วงเวลาตี 3-5

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน