ตอนที่ 249 สลักรอยประทับแห่งเต๋า
มินาน เมื่อเย่ฉางชิงอุ้มถูสือซาน จนมาปรากฏตัวยังถนนที่เป็นที่ตั้งร้านขายของชำของตัวเอง
จู่ ๆ ก็มีเงาดำขนาดมหึมาเงาหนึ่ง พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
เห็นได้ชัดว่านั่นก็คือราชันทมิฬที่มีร่างกายใหญ่โต !
อีกทั้งราชันทมิฬยังคงแลบลิ้นสีแดงสด พร้อมส่ายหางไปมา ดวงตาดำขลับคู่นั้นยังคงเปล่งประกายระยิบระยับออกมาเช่นเคย
อ๊ะ !
เย่ฉางชิงกลับเกิดอาการนิ่งอึ้งไปอย่างไร้สาเหตุ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาเผยสีหน้าสับสนออกมาอย่างอดมิได้
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมิรู้ว่าเจ้าสุนัขที่ขี้ขลาดราวกับหนูตัวนี้เป็นปีศาจสุนัขที่มีพลังอันแข็งแกร่ง จึงได้คอยดุด่าว่ากล่าวราชันทมิฬต่าง ๆ นานา
บัดนี้แม้จะรู้ตัวตนที่แท้จริงของราชันทมิฬแล้ว ขณะเดียวกันเขาเองก็รู้ว่าราชันทมิฬกำลังเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นยอดฝีมืออะไรนั่น แต่เวลานี้เย่ฉางชิงก็ยังอดที่จะเกิดความกังวลขึ้นมามิได้
‘ต้องเพิ่มตบะบารมีให้สูงขึ้นโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นหากถูกเจ้าราชันทมิฬจับพิรุธได้ล่ะก็ คงได้ถูกเจ้านี่กลืนลงท้องเป็นแน่’
เย่ฉางชิงเอ่ยพึมพำอยู่ภายในใจ ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา พร้อมกับยื่นมือออกไปลูบที่หัวของราชันทมิฬ
จากนั้นเมื่อเย่ฉางชิงเข้ามาถึงเรือนด้านหลัง เขาก็ได้นำของไปเก็บอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขังตัวเองอยู่ภายในห้อง แล้วเริ่มบำเพ็ญเพียรทันที
หลายวันผ่านไป
ยามเที่ยงวัน
เย่ฉางชิงได้เดินออกมาจากภายในห้อง กินเนื้อเสือดำตากแห้งและโจ๊กผักตามปกติ จากนั้นก็กลับเข้าห้องไปเริ่มฝึกต่อทันที
ส่วนอาหารของราชันทมิฬและถูสือซานก็เหมือนกับเขา
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงมิเข้าใจก็คือ
ปีศาจสองตนนี้ดูมิเหมือนปีศาจเอาเสียเลย
เพราะเนื้อเสือดำตากแห้งที่แบ่งเอาไว้ให้พวกเขา กลับวางอยู่ที่เดิมมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับชื่นชอบโจ๊กผักเป็นอย่างมาก เพราะต่างกินกันจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง
แม้เย่ฉางชิงจะเกิดความสงสัยในเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้เขามิมีเวลาจะมาใส่ใจเรื่องไร้สาระ เพราะเขาได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น
“ถูสือซาน ช่วงนี้เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่านายท่านเปลี่ยนไป”
ราชันทมิฬที่หมอบอย่างเกียจคร้านอยู่กับพื้น เอ่ยกับถูสือซานที่หมอบอยู่บนเก้าอี้
ดวงตาดำขลับของถูสือซานจึงลืมขึ้นมาในทันที จากนั้นก็พยักหน้ารับพร้อมกับครุ่นคิดตามไปด้วย
“ใช่แล้ว ก่อนหน้าตอนอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ผู้อาวุโสได้กำชับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายว่า หากมิได้มีวิกฤตใหญ่หลวง ห้ามมารบกวนความสงบของเขาเด็ดขาด”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ถูสือซานจึงได้เงยใบหน้าเล็ก ๆ ขึ้นมา เอ่ยกับราชันทมิฬด้วยความสงสัยว่า “ราชันทมิฬ หลายวันมานี้เจ้าคงรู้สึกได้ว่า ทุกคราที่ผู้อาวุโสบำเพ็ญเพียรปราณวิญญาณฟ้าดินของเมืองเสี่ยวฉือก็จะเกิดการปะทุขึ้น”
“หรือว่าท่านผู้อาวุโสจะเกิดการเข้าใจอะไรใหม่ หรือว่าใกล้จะบรรลุระดับจึงทำให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้”
“อาจจะใช่”
ราชันทมิฬยกยิ้มขึ้นมา พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย “บอกตามตรง ข้าติดตามนายท่านมาหลายปี มิเคยเห็นนายท่านตั้งใจบำเพ็ญเพียรเช่นนี้มาก่อน”
“ช่วงนี้นายท่านตั้งใจบำเพ็ญเพียรจนมิกินมินอนเช่นนี้ คิดว่าเขาคงเกิดความเข้าใจสิ่งใหม่ หรือว่าใกล้จะบรรลุระดับก็เป็นได้”
ตอนนั้นเองถูสือซานก็ได้ถามหยั่งเชิงขึ้นว่า
“ราชันทมิฬ ช่วงที่ผู้อาวุโสบำเพ็ญเพียรปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่ถูกเขาดึงไปเกือบหมด ด้วยตบะของเจ้าและข้าในตอนนี้ จึงมิสามารถบำเพ็ญเพียรในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ พวกเราไปหาที่อื่นเพื่อบำเพ็ญเพียรดีหรือไม่ ? ”
“ก็ดี ข้าเองก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน”
ราชันทมิฬลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยืดตัวขึ้น “เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน เจ้าตามข้ามาข้ารู้จักที่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่หนึ่ง”
มินานถูสือซานก็ขึ้นไปเกาะบนหลังของราชันทมิฬ แล้วพากันออกจากลานด้านหลังไป
เวลาสิบกว่าวันผ่านไปไวราวกระพริบตา
การจากไปของราชันทมิฬและถูสือซาน กลับทำให้เย่ฉางชิงรู้สึกสบายใจมากขึ้น
แต่เขาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียรเช่นเดิม ทุกวันนอกจากนอนแล้วเวลาที่เหลือก็จะทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น
วันนี้หลังจากเย่ฉางชิงล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย และเดินออกมาจากห้อง
ก็มีเสียงของช่างตีเหล็กซ่งดังขึ้นมาจากด้านนอก
“ท่านเย่ อยู่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงได้ยินก็รีบเดินไปเปิดประตู
ก่อนพบว่าเป็นช่างตีเหล็กซ่งที่อุ้มกล่องไม้ทรงยาวกล่องหนึ่งเอาไว้แนบอก ใบหน้าหยาบกร้านฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“ท่านเย่ ภายในกล่องนี้เป็นกระบี่เหล็กที่ข้าหลอมให้ท่าน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน