ตอนที่ 25 ท่านเย่ก็คือบรรพจารย์ผู้นั้นจริง ๆ
คำพูดของเยี่ยนปิงซินมาพร้อมกับความตกใจ เย่ฉางชิงตกตะลึงทันทีที่ได้ยิน พร้อมกับสีหน้าที่ดูสับสน
เขาคาดมิถึงจริง ๆ ว่าคำพูดที่เอ่ยไปตามมารยาทกับหลิวฉางเหอนั้น จะทำให้สตรีผู้นี้เกิดความลังเลขึ้นมา
‘โลกของพวกเจ้ามิต้องคำนึงถึงเรื่องธรรมเนียมระหว่างชายหญิงเลยหรืออย่างไรกัน ? ’
‘หรือมิกลัวว่าในคืนที่สายลมพัดโหมกระหน่ำ เขาอาจจะควบคุมความเหงาของตัวเองมิไหว และอาจจะลงมือทำบางอย่างลงไป ? ’
“เรื่องนี้…”
หลิวฉางเหอที่ได้ยินเยี่ยนปิงซินเอ่ยขึ้นมาพร้อมสีหน้าจริงจัง ก็มีท่าทีลังเลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
เย่ฉางชิงเห็นดังนั้นก็อดที่จะกระพริบตาปริบ ๆ มิได้
‘ผู้อาวุโสเช่นพวกเจ้าใจกว้างเพียงนี้เชียวหรือ ? ’
‘ประเด็นสำคัญก็คือไม่ว่าจะยุคสมัยไหนไม่ว่าจะโลกใด คนที่เก่งแต่กินมักจะต้องยากจนข้นแค้นอยู่ร่ำไป’
‘พวกเจ้ามีสติกันหน่อยสิ ! ’
เวลานี้เย่ฉางชิงกำลังรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง หากย้อนไปได้อีกครั้งล่ะก็เขาจะมิพูดออกไปเช่นนั้นเป็นแน่
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงจึงแกล้งยิ้มออกมาพลางหันไปมองเยี่ยนปิงซินแล้วเอ่ยแนะนำว่า “คุณหนูเยี่ยน กตัญญูรู้คุณคือคุณธรรมอันดับแรก หากท่านชอบที่นี่จริง ๆ ก็ควรกลับไปดูแลบิดามารดาสักระยะ แล้วค่อยมาที่นี่อีกก็ย่อมได้”
นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าสับสน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
พวกเขาทั้งสองมีชีวิตอยู่มานับพันปี บัดนี้บิดามารดาของพวกเขาล้วนล้มหายตายจากไปหมดแล้ว
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสที่มีอายุยืนยาวตรงหน้าเอ่ยเช่นนี้ ในใจพลันเกิดความรู้สึกที่หลากหลายขึ้นมา
นักพรตฉางเสวียนกวาดตามองเยี่ยนปิงซินและลู่อู๋ซวง ก่อนจะเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบหนวดไปด้วย “ข้าอายุปูนนี้แล้ว บิดามารดาล้วนสิ้นบุญไปจนหมด พวกเจ้ายังเยาวน์ควรจะหวงแหนครอบครัวเอาไว้ให้ดี ๆ ”
หลิวฉางเหอจึงพยักหน้าสนับสนุน “หนึ่งชีวิตผ่านไปไวราวกับกระพริบตา พวกเจ้าควรหวงแหนคนสำคัญและทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาให้ดี”
เย่ฉางชิงได้ยินสองผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงกระพริบตาปริบ ๆ
‘ตาเฒ่าสองคนนี้ช่วยข้าพูดอยู่นี่นา ! ’
เย่ฉางชิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ดอกเซวียนเฉ่าขึ้นเต็มริมทาง บุตรที่รักเดินทางท่องทั่วหล้า มารดาอิงแอบอยู่หน้าประตู กลับมิเห็นบุตรหวนคืนมา”
เย่ฉางชิงที่คุ้ยเคยกับกวียุคถังและยุคซ่ง เพียงแค่คิดครู่เดียวก็สามารถท่องออกมาได้ทันที
พวกนักพรตฉางเสวียนเมื่อฟังจบแล้วก็นิ่งอึ้งไปทันที ราวกับมีภาพจริงปรากฏขึ้นในหัวของทั้งสี่คนทันที
ดอกเซวียนเฉ่าขึ้นเต็มริมทาง นักเดินทางท่องไปทุกแห่งหน มารดาที่ศีรษะเต็มไปด้วยผมสีดอกเลาคนหนึ่งพิงอยู่ที่หน้าประตู พลางมองออกไปแสนไกลแต่สุดท้ายก็มิเห็นลูกรักกลับมา…
จู่ ๆ ทั้งสี่คนก็ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา แต่ละคนมีสีหน้าที่ยากจะเข้าใจได้
โดยเฉพาะนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอที่มีสีหน้าโศกเศร้ายิ่งนัก
แม้พวกเขาจะบำเพ็ญเพียรมานับพันปี จิตใจมั่นคงดุจหินผา แต่กลอนบทนี้กลับสะกิดความทรงจำในส่วนลึกที่พวกเขาปิดผนึกเอาไว้ยาวนานให้เปิดออกอีกครั้ง
พวกเขาก็เคยเป็นบุตรชายมาก่อน เคยมีมารดาที่แก่ชรา แต่มันเป็นอดีตที่นานมาแล้ว กลอนบทนี้ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงการรอคอย และความคิดถึงของมารดาได้เป็นอย่างดี
นักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอคิดถึงตรงนี้ก็อดที่จะรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมามิได้
ขณะเดียวกันภายในใจของพวกเขาก็รู้สึกประทับใจยิ่งนัก ‘ผู้อาวุโสเย่สมกับที่เป็นยอดคนจริง ๆ กลอนที่ท่องออกมาด้วยปากเปล่ากลับแฝงความหมายได้อย่างล้ำลึก พวกตาเฒ่าที่เรียกตัวเองว่าเป็นลูกหลานของเทพปราชญ์ ยังมิอาจเทียบเคียงได้กระมัง’
เย่ฉางชิงเห็นผู้เฒ่าทั้งสองมีท่าทางโศกเศร้าถึงเพียงก็รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
‘หรือว่ากลอนที่ข้าเอ่ยออกมาเมื่อครู่ จะไปสะกิดแผลใจของพวกเขาเข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
ไม่นานหลิวฉางเหอก็ปรับอารมณ์ได้ ขณะเดียวกันหลังจากที่เกิดการต่อสู้ในจิตใจเมื่อครู่แล้ว จิตใจของเขาก็เหมือนจะพัฒนาไปอีกขั้น จนรู้สึกมั่นคงและปลอดโปร่งมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน