ตอนที่ 257 ลัทธิเต๋ามิน่าจะมีคนที่น่ากลัวเช่นนี้
จนเวลาผ่านไปประมาณ 1 ก้านธูป
ขณะที่เย่ฉางชิงถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ลูกแก้วผลึกอย่างต่อเนื่อง
นิมิตที่ปรากฏอยู่เหนือยอดเขาสตรีหยกก็ยิ่งทวีความน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพเทพที่เหยียบมังกรทองมงคล มีหงส์ไฟบินวนอยู่รอบ ๆ
จากที่ตอนแรกมีหมอกแสงแผ่ออกมา ไอพลังสุดปั่นป่วนทะลักทลายออกมา วิถีเต๋าปกคลุม ภาพไท่จี๋หมุนวน…
มินานก็มีไอสีม่วงพุ่งออกมาทางทิศตะวันออกทอดยาวไป 30,000 ลี้ ด้านหลังเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าขึ้นสนั่นหวั่นไหว ไอพลังสุดปั่นป่วนที่ปกคลุมรอบกาย แปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวสีทองลอยขึ้นมาจนเต็มไปหมด…
วินาทีนั้นทุกคนต่างคิดว่าภาพเทพนี้ เป็นการสำแดงอิทธิฤทธิ์ของร่างอวตารที่เกิดจากพลังเต๋า
ในความคิดของพวกเขาตอนนี้ ความสามารถของผู้อาวุโสเย่นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง
หากเปรียบก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเย่เป็นเพียงคนที่พวกเขาได้แต่เฝ้ามอง
เช่นนั้นเวลานี้ต้องบอกว่าแม้แต่มอง พวกเขายังมิมีสิทธิ์เสียด้วยซ้ำ
ภาพเทพคือร่างอวตารของเต๋า
ผู้อาวุโสเย่เก่งกาจเพียงใดกันแน่ ?
น่าเหลือเชื่อ !
เรื่องนี้น่าเชื่อจริง ๆ !
ทว่าวินาทีที่เย่ฉางชิงกำลังถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ลูกแก้วผลึกในครั้งที่สี่นั้น
ลูกแก้วผลึกทั้งลูกพลันเปล่งแสงหลากหลายสีสันอันเจิดจ้าออกมา สัญลักษณ์เรืองแสงมากมายปรากฏขึ้นกลางอากาศ ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักแทบจะในพริบตา
ทว่าเมื่อผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ
“เปรี๊ยะ ! ”
เสียงบางอย่างเกิดลั่นขึ้นมา
ก่อนจะพบว่าลูกแก้วผลึกด้านบนตอนนี้ได้มีรอยร้าวเล็ก ๆ ปรากฎขึ้นมา ก่อนที่ลูกแก้วผลึกทั้งลูกจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ภายในพริบตา
จนสุดท้ายก็กลายเป็นผุยผง
ในตอนนั้นเอง นิมิตที่เกิดขึ้นภายในตำหนัก และนิมิตอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมท้องฟ้าของยอดเขาสตรีหยกเอาไว้ ก็มลายหายไปแทบจะพร้อม ๆ กัน
ทว่าระหว่างที่นิมิตภายในตำหนักมลายหายไปนั้น
เย่ฉางชิงก็ต้องตกตะลึงงัน
ตามที่ตำราโบราณในชั้นหนึ่งของหอเก็บตำราเล่มนั้นบันทึกเอาไว้
รากวิญญาณจะแบ่งตามธาตุ รากที่มีธาตุแตกต่างกัน ก็จะเปล่งแสงแตกต่างกันไปด้วย
ส่วนรากวิญญาณที่มีคุณภาพแตกต่างกัน แสงที่เปล่งออกมาก็มีความสว่างเจิดจ้าต่างกันไป
ส่วนเขาหลังจากถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ลูกแก้วผลึกแล้ว บนลูกแก้วผลึกกลับเปล่งแสงหลากสีสันออกมา
ทว่าเมื่อเขาถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ลูกแก้วผลึกในครั้งที่สี่ กลับมีแสงสีสันแสบตามากมายเปล่งออกมา
อีกทั้งยังมีแสงสีขาวดำส่องแสงแวบวับมิหยุด
ราวกับมีไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้น รวมทั้งมีสัญลักษณ์โบราณนับมิถ้วนปรากฎขึ้นอีกด้วย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ
หลังจากถ่ายทอดพลังวิญญาณถึง 4 ครั้งแล้ว ลูกแก้วผลึกกลับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ? ’
‘รากวิญญาณของข้าเป็นธาตุอะไรกันแน่เนี่ย ? ’
‘หลังจากลูกแก้วผลึกดูดซับพลังวิญญาณแล้ว แสงที่ส่องออกมานั้นเจิดจ้ามากก็จริง ทว่ากลับมีหลากหลายสีสันผสมปนเปจนมั่วไปหมด ! ’
เย่ฉางชิงคิดแล้วก็ได้แต่กุมขมับ ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความจนปัญญา
เพราะตอนนี้ฐานะของเขาคือบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
แต่ตบะบารมีของเขาจริง ๆ ยังอยู่ที่ระดับรวมชีพจรเท่านั้น
หากไปถามเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กับผู้ใด ก็มิต่างอะไรกับการเผยพิรุธให้ผู้อื่นได้รู้
แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด !
หากอีกฝ่ายมีนิสัยโผงผาง เกรงว่าคงสังหารเขาเสียตรงนั้นเลยก็เป็นได้
แต่หากมิทำเช่นนั้น เขาก็มิมีทางรู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ !
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ดวงตาของเย่ฉางชิงพลันเกิดประกายบางอย่างแวบผ่าน
“ใช่แล้ว หอเก็บตำรา ! ”
เย่ฉางชิงตบฉาดลงที่ต้นขาของตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกตำหนักทันที
ทว่าในวินาทีที่เขาผลักประตูออกไปนั้น
ก็พบว่าลู่อู๋ซวงที่ก่อนหน้านี้ได้เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักกำลังนั่งสมาธิอยู่ ผมนุ่มสลวยเป็นพวงของนางปลิวสยาย
ขณะเดียวกันก็มีแสงเรืองรองรอบกาย ราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์มาเยือนโลกมนุษย์
อีกทั้งบนศีรษะของนางตอนนี้ ยังมีกระบี่แสงเปล่งประกายระยิบระยับเล่มหนึ่งลอยอยู่ และแผ่พลังอันดุดันออกมา
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้อย่างน้อย ๆ ลู่อู๋ซวงจะต้องมีตบะบารมีระดับแดนก่อกำเนิดแล้ว
ทันใดนั้นเมื่อเห็นลู่อู๋ซวงที่ราวกับกำลังเข้าสู่การรู้แจ้งบางอย่างอยู่
เย่ฉางชิงก็รู้สึกช้ำใจยิ่งนัก !
อีกทั้งยัง
ช้ำมาก !
ช้ำสุด ๆ !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน