เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 312

สรุปบท ตอนที่ 312 เป็นข้านี่ช่างลำบากจริง ๆ: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

สรุปตอน ตอนที่ 312 เป็นข้านี่ช่างลำบากจริง ๆ – จากเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet

ตอน ตอนที่ 312 เป็นข้านี่ช่างลำบากจริง ๆ ของนิยายนิยายแปลเรื่องดัง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 312 เป็นข้านี่ช่างลำบากจริง ๆ

ตอนนั้นเอง เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองนั้นกำลังเสียมารยาท

ตู๋กูชิงเฟิงจึงพ่นลมหายใจออกมาน้อย ๆ พยายามปรับอารมณ์ของตัวเองให้เป็นปกติ

ทว่าระหว่างที่ตู๋กูชิงเฟิงเตรียมจะเอ่ยเชิญนักพรตฉางเสวียนเข้ามาด้านใน และบอกเขาว่าเย่ฉางชิงกำลังไปซื้อเนื้อที่ร้านขายเนื้อ อีกมินานก็จะกลับมานั้น

นางก็พบว่านักพรตฉางเสวียนมิเพียงมีท่าทางแปลกไป ทว่าสายตาที่มองมายังนางนั้นยังประหลาดมากอีกด้วย

วินาทีต่อมา ตู๋กูชิงเฟิงจึงมีสีหน้าเย็นชาลงภายในพริบตา

“เจ้าคงมาเพื่อขอร้องให้ฉางชิง ยื่นมือไปช่วยยุติสงครามทางเหนือกระมัง ? ”

สายตาของตู๋กูชิงเฟิงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้น ให้ความรู้สึกราวกับตกอยู่ในขุมนรก

หากมิใช่เพราะนางตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับฉางชิงที่นี่แล้วล่ะก็ นางคงลงมือสังหารชายผู้นี้อย่างมิลังเลไปแล้ว

‘กล้าใช้สายตาเช่นนี้จ้องมองจักรพรรดิเช่นข้าเยี่ยงนั้นหรือ ! ’

‘ห๊ะ ! ’

ได้ยินเช่นนั้น นักพรตฉางเสวียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ทว่าขณะที่เขาบังเอิญสังเกตเห็นท่าทางของสตรีที่สวมอาภรณ์สีม่วงตรงหน้า

สีหน้าของเขาก็พลันต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ทันใดนั้น ความเย็นยะเยือกก็ได้แล่นขึ้นมา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

สตรีที่สวมอาภรณ์สีม่วงนางนี้มิธรรมดาจริง ๆ !

แม้เขาจะมิอาจสัมผัสถึงพลังในการบำเพ็ญเพียรใด ๆ บนกายของนาง แต่หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดแล้วล่ะก็ ตบะบารมีของอีกฝ่ายจะต้องอยู่สูงกว่าเขาเป็นแน่ !

อีกอย่างสายตาที่ลุ่มลึกและเย็นชาเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองยังอดมิได้ที่จะรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ภายในใจเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้หาได้อ่อนเยาว์ และเป็นหญิงสาวธรรมดาดังเช่นที่เห็นภายนอกไม่

เลอะเลือนไปใหญ่แล้ว !

คิดได้เช่นนั้น นักพรตฉางเสวียนก็มิกล้าจะคาดเดาไปต่าง ๆ นานาอีก จึงได้รีบประสานมือขึ้นคาราวะทันที “ขอเรียนตามตรง ข้ามาเพราะเรื่องฝ่ายมารจากแดนรกร้างทางเหนือบุกเข้าโจมตีจงหยวนจริง ๆ ขอรับ”

“ในเมื่อมาเพราะเรื่องนี้”

ตู๋กูชิงเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยกมุมปากขึ้นและเผยรอยยิ้มเรียบนิ่งออกมา พร้อมถามขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นเจ้ามิอยากรู้หรอกหรือว่าข้าคือใคร ? ”

นักพรตฉางเสวียนได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งงันไปทันที

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ

นักพรตฉางเสวียนราวกับว่าในที่สุดก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

‘เสียงนี้ ? ’

‘ทำไมให้ความรู้สึกคุ้นเคยนักนะ ? ’

‘มิใช่ ! ’

‘เสียงนี้ หรือจะเป็นจักรพรรดิมารตนนั้น ! ’

‘แย่แล้ว ! ’

คิดถึงตรงนี้ นักพรตฉางเสวียนก็เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าแฝงรอยยิ้มมีเลศนัยของตู๋กูชิงเฟิง

ทันใดนั้น เมื่อรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่ ร่างของเขาก็ผงะและหายแวบไปทันที ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่อีกฟากของถนน

“เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ”

รอบกายนักพรตฉางเสวียนพลังปราณพลุ่งพล่าน พลังวิญญาณภายในกายถูกกระตุ้นถึงขีดสุดภายในพริบตา เตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ตลอดเวลา

เขารู้ดีว่าตนเองนั้นหาใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิมารตนนี้ไม่

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเช่นเขาก็ขอยอมสู้ตาย ดีกว่าต้องคุกเข่าอ้อนวอนจักรพรรดิมาร

“อีกอย่างท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่เป็นที่พักผ่อนของท่านบรรพจารย์เย่ ? ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยกับตู๋กูชิงเฟิง ด้วยท่าทางแน่วแน่และดวงตาวาวโรจน์

“กล้ารบกวนการพักผ่อนท่านบรรพจารย์เย่ ต่อให้ท่านเป็นถึงจักรพรรดิมาร แต่ต่อหน้าของท่านบรรพจารย์เย่ ท่านก็ยังคงมิต่างอะไรกับมดปลวกอยู่ดี ! ”

‘ท่านบรรพจารย์เย่ ? ’

สิ้นเสียงคิ้วเรียวยาวของตู๋กูชิงเฟิงพลันขมวดมุ่นอย่างห้ามมิได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นางก็มีท่าทีอ่อนลงพร้อมกับเอ่ยถามอย่างหยอกล้อขึ้นว่า “หรือว่าฉางชิงมาจากสวรรค์จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ก่อนหน้านี้เรื่องที่เย่ฉางชิงมาจากสวรรค์หรือไม่นั้น เป็นเพียงแค่การคาดเดาของนางเท่านั้น

แต่หากลูกศิษย์หรือศิษย์หลานผู้นี้ของเย่ฉางชิงยอมรับออกมาเอง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะต่างออกไป

“ท่านรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

นักพรตฉางเสวียนแค่นหัวเราะออกมาเสียงเย็น พร้อมเอ่ยต่อ “ในเมื่อท่านอยากรู้ ข้าก็จะบอกให้เอาบุญ ท่านบรรพจารย์เย่มาจากสรวงสวรรค์ ความเก่งกาจของเขาหาใช่สิ่งที่ท่านและข้าจะสามารถคาดเดาได้”

“หากท่านยังพอมีสติอยู่บ้าง ก็จงออกไปจากเมืองเสี่ยวฉือซะ จากนั้นก็พากองทัพมารกลับไปยังดินแดนร้างทางเหนือเสีย มิเช่นนั้นหากท่านบรรพจารย์เย่ลงมือขึ้นมา ฝ่ายมารของท่านจะต้องสูญสิ้นอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ฟังคำขู่ของนักพรตฉางเสวียน

ตู๋กูชิงเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยสีหน้าอ่อนโยนออกมาอย่างมิเคยเป็นมาก่อน

“ถูกต้อง ฉางชิงเป็นคนช่วยข้าออกมา ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฉางชิงนั้น เจ้ามิจำเป็นจะต้องรู้ และมิมีวันเข้าใจได้”

ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนอย่างตรงไปตรงมา

สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนจึงเต็มไปด้วยความหดหู่ในทันที ก่อนจะหมุนตัวเตรียมจากไป

เพราะท่านบรรพจารย์เย่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่เขากลับช่วยจักรพรรดิมารตนนี้ออกมา

เป็นเหตุให้เกิดศึกคราใหญ่ระหว่างเต๋าและมารทางเหนือเมื่อหลายวันก่อน ทำให้ลัทธิเต๋าต้องบาดเจ็บล้มตายไปนับมิถ้วน

ทว่าผู้ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดกลับเป็นท่านบรรพจารย์เย่ ซึ่งก็คือคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วย

คิดดูก็รู้แล้วว่าหลังจากได้รู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้

นักพรตฉางเสวียนผู้เป็นเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จะรู้สึกหนักอึ้งในใจเพียงใด

และในตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงที่เพิ่งกลับมาจากร้านขายเนื้อ โดยในมือถือเนื้อมาด้วยสองก้อน ก็ปรากฏตัวขึ้นเงียบ ๆ

ขณะที่เขาเห็นตู๋กูชิงเฟิงยืนประจันหน้ากับนักพรตฉางเสวียน เขาก็เริ่มรู้สึกมิดีขึ้นมาทันที

‘หากเดามิผิดแล้วล่ะก็ การที่เจ้าสำนักไท่เสวียนท่านนี้มาหาข้าในเวลานี้ จะต้องมาขอร้องเขาซึ่งก็คือท่านบรรพจารย์เย่ให้ออกหน้า ช่วยขับไล่กองทัพมารให้ออกไปจากจงหยวนเป็นแน่’

‘แต่ข้ากลับมีตบะบารมีเพียงระดับรวบรวมชีพจรเท่านั้น จะสามารถขับไล่กองทัพมารนับแสน ให้ออกไปจากจงหยวนได้เยี่ยงไรกัน ? ’

‘มิได้ ! ’

‘วันนี้จะเจอหน้าเจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้มิได้อย่างเด็ดขาด ! ’

‘ทว่าตู๋กูชิงเฟิงเปิดประตูออกมาแล้ว’

‘บางทีนางอาจจะบอกเจ้าสำนักไท่เสวียนไปแล้วก็ได้ว่าเขาเพียงแค่ไปซื้อเนื้อ’

‘อีกทั้งระยะทางจากร้านเนื้อมาถึงที่นี่ ก็ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น ! ’

‘ทำเช่นไรดี ! ’

‘ตอนนี้จะทำเช่นไรดี ! ’

‘เป็นข้านี่ช่างลำบากจริง ๆ ! ’

จนเวลาผ่านไปชั่วอึดใจ

ขณะที่เย่ฉางชิงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง และเตรียมที่จะหลบหน้านักพรตฉางเสวียนนั้น

จู่ ๆ นักพรตฉางเสวียนก็หมุนตัวหันมาเห็นเขาเข้าพอดี

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน