‘เขายลสรวง ? ’
ตู๋กูชิงเฟิงขมวดคิ้วน้อย ๆ พร้อมจ้องมองไปยังสตรีลึกลับ ที่มีดวงตาเป็นประกายสีเขียว รอบกายแผ่ไอพลังเต๋าจาง ๆ ออกมา
ใช่แล้ว !
นางเคยไปที่เขายลสรวงนั่นจริง ๆ
แต่ว่า
นี่เหมือนจะเป็นชื่อภูเขาลูกหนึ่งในสมัยบรรพกาล
หากจำมิผิดแล้วล่ะก็ ยังเป็นช่วงที่นางบำเพ็ญเพียรอยู่ในลัทธิเต๋าอีกด้วย
นางตามศิษย์ลัทธิเต๋ามากมายเข้าไปส่วนลึกของแดนลับแห่งหนึ่ง เพื่อหาวิธีฝึกฝนตบะบารมี สุดท้ายก็บังเอิญไปพบเขาลึกลับนามว่าเขายลสรวงเข้า
บนเนินเขาลึกลับลูกนั้น แม้จะมีโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่มากมาย แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยค่ายกลสังหารนับมิถ้วน
ตอนนั้นนางและศิษย์ร่วมสำนักได้รับโอกาสและวาสนามากมายก็จริง แต่ทว่ากลับไปกระตุ้นกลสังหารอันน่าสะพรึงกลัวเข้า
สุดท้าย ศิษย์ร่วมสำนักของนางก็ถูกฆ่าตายจนหมด
ส่วนนางโชคดีที่ไปหลบอยู่ใต้ต้นหลิวลึกลับต้นหนึ่ง จึงมีชีวิตรอดมาได้
คิดถึงตรงนี้
ตู๋กูชิงเฟิงอดมิได้ที่จะเอ่ยกับตัวเองในใจว่า
‘มิจริง สตรีนางนี้มิมีทางเป็นสหายร่วมสำนัก ที่ไปร่วมฝึกตนในครานั้นกับข้าอย่างแน่นอน พวกเขาถูกสังหารจนตายไปหมดแล้ว ข้าเห็นมากับตาตัวเองว่ามิมีผู้ใดรอดออกมาได้อีก’
‘แต่ในเมื่อมิใช่พวกเขา เช่นนั้นสตรีลึกลับนางนี้เป็นผู้ใดกันแน่ คงมิใช่ต้นหลิวลึกลับต้นนั้นหรอกกระมัง ? ’
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ตู๋กูชิงเฟิงก็เผยสีหน้าฉงนออกมา ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ท่านคงมิใช่ต้นหลิวบนเขายลสรวงต้นนั้นหรอกกระมัง ? ”
สิ้นเสียงเทพหลิวก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย แต่มิได้เอ่ยสิ่งใด
ถูสือซานและราชันทมิฬนิ่งไปเล็กน้อย ท่าทางเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
สตรีนางนี้เป็นใครกันแน่ ?
ถึงรู้จักกับพี่ต้นไม้ได้
ขณะเดียวกัน ดวงตาของเย่ฉางชิงพลันเปล่งประกายบางอย่างออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าพลันดูร่าเริงขึ้นเป็นอย่างมาก
พลังของเสี่ยวหลิวแข็งแกร่งเพียงใดนั้น ผู้ที่ตบะบารมีระดับรวมชีพจรขั้นกลางเช่นเขา ย่อมมิอาจคาดเดาได้
แต่นางแข็งแกร่งจนสามารถพร้อมขึ้นสวรรค์ได้ตลอดเวลา เช่นนี้ก็สามารถอธิบายข้อสงสัยหลาย ๆ อย่างได้แล้ว
ส่วนตู๋กูชิงเฟิงจักรพรรดิมารตนนี้ พลังของนางคงมิต้องพูดถึง
แต่โชคดีที่พวกนางสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน
เช่นนี้แล้วขอเพียงเสี่ยวหลิวยังอยู่
ต่อให้จักรพรรดิมารที่มีนิสัยเอาแน่เอานอนมิได้เกิดโมโหขึ้นมา แล้วต้องการที่จะสังหารเขา ถึงเวลานั้นเสี่ยวหลิวย่อมมิมีทางที่จะนิ่งดูดายอย่างแน่นอน
‘เยี่ยม ! ’
‘เยี่ยมจริง ๆ ! ’
‘ขอเพียงมีนางคอยปกป้องเช่นนี้ ต่อไปก็สามารถวางใจและมีเวลาคิดหาแผนการเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิมารตนนี้ ให้จากไปแต่โดยดีได้แล้ว’
คิดได้เช่นนั้น เย่ฉางชิงจึงเอ่ยกับทั้งสอง ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน เช่นนั้นก็เชิญพูดคุยกันตามสบายนะ ข้าจะไปเตรียมมื้อค่ำให้”
ได้ยินเช่นนั้น ตู๋กูชิงเฟิงก็ยิ้มหวานออกมา ดวงตาเรียวยาวเป็นประกาย พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างออดอ้อนว่า
“ฉางชิง ข้าอยากจะกินซุปซี่โครงอะไรนั่น ที่เจ้าทำให้ข้าเมื่อคืนก่อนอีก”
“ห๊ะ ! ”
พวกเทพหลิวได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปมองตู๋กูชิงเฟิงที่แสดงท่าทางราวกับเด็กสาว แทบจะพร้อมกัน
ทันใดนั้น ทั้งสามคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับมีท่าทีประหลาดใจ
‘สตรีนางนี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกับนายท่านกันแน่ ? ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่… หรือว่าจะเป็นคู่รักหวานแหววในตำนาน ? ’
‘มิใช่กระมัง ! ’
‘ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานอย่างนายท่าน ยังจะมีอารมณ์รักใคร่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘อีกทั้งสตรีนางนี้แม้จะมิใช่คนธรรมดา แต่การที่นางคบหากับนายท่านเช่นนี้’
‘นางมิรู้สึกถึงแรงกดดันบ้างเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ใสซื่อ ! ’
‘ช่างใสซื่อจริง ๆ ! ’
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากเย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้ว
ตู๋กูชิงเฟิงและเทพหลิวก็ได้มานั่งเผชิญหน้ากันอยู่ที่หน้าโต๊ะชา
เวลานี้ในใจของทั้งคู่ ต่างก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีความสัมพันธ์กับเย่ฉางชิงเช่นไรกันแน่
“เจ้ารู้จักนายท่านได้เยี่ยงไร ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน