เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 361

สรุปบท ตอนที่ 361 ศิษย์น้องเย่ เจ้าต้องการภรรยาหรือไม่ ?: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 361 ศิษย์น้องเย่ เจ้าต้องการภรรยาหรือไม่ ? – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายแปลทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 361 ศิษย์น้องเย่ เจ้าต้องการภรรยาหรือไม่ ? จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 361 ศิษย์น้องเย่ เจ้าต้องการภรรยาหรือไม่ ?

ขณะเดียวกัน เมื่อจื่อเหยากลับมาแล้ว นางก็ได้บอกในสิ่งที่ตนเองคาดเดาให้กับพวกลู่ซานหยางได้ทราบ

ทันใดนั้นพวกลู่ซานหยางก็รู้สึกราวกับมีเสียงวิ๊งดังขึ้นในโสตประสาท สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา

จนเวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ

เมื่อทุกคนได้สติขึ้นมา เรือนที่พักของลู่ซานหยาง พลันก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นมาในทันที

“ศิษย์น้องเก้า ศิษย์พี่รองพูดกับเจ้าเช่นนี้จริง ๆ หรือ ? ”

“ใช่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและศิษย์พี่ชวี่ คิดว่าพวกท่านเองก็คงจะทราบดี นางเคยโกหกข้าที่ไหนกันเจ้าคะ”

“ศิษย์น้องจื่อเหยา นี่ก็หมายความว่าวาสนาที่ศิษย์พี่ใหญ่ได้รับ ก็เพราะบังเอิญได้ดูดซับเอาไอเซียน ที่ศิษย์น้องเย่แผ่ออกมาเข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ถ้าตามที่ศิษย์พี่ชวี่กล่าวไว้ ก็คงจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

“ศิษย์พี่ลู่ ศิษย์พี่ฉี หากเป็นเช่นนั้นจริง อาจารย์ก็ลำเอียงเกินไปแล้ว”

“ใช่แล้ว หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ อาจารย์คงรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เช่นนั้นจึงให้ศิษย์พี่ใหญ่ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ข้างกายศิษย์น้องเย่”

“มิได้ ในเมื่อศิษย์น้องเย่เก่งกาจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นไอเซียนของเขาจะให้ศิษย์พี่ใหญ่ซึมซับไปเพียงผู้เดียวมิได้ พวกเราต้องมีส่วนได้รับด้วย”

“ใช่ ที่ศิษย์น้องหกพูดมาถูกต้องแล้ว”

“พวกเจ้ามิต้องร้อนใจไป ในเมื่ออาจารย์ให้ศิษย์พี่ใหญ่บำเพ็ญเพียรข้างกายศิษย์น้องเย่ แสดงว่ามิเคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตาตั้งแรกอยู่แล้ว”

“แต่ในฐานะของศิษย์พี่ พวกเราย่อมสามารถไปเยี่ยมศิษย์น้องเย่ผู้นี้ได้อยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้าคิดว่าอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ ก็คงมิสามารถที่จะพูดอะไรได้เช่นกัน”

“ศิษย์พี่ลู่ช่างเป็นคนเจ้าแผนการจริง ๆ ! ”

“เจ้าเจ็ด นี่เจ้าชมข้าหรือด่าข้ากันแน่ ! ”

“……”

“……”

เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว

หลังจากปรึกษาหารือกันเสร็จเรียบร้อย

พวกเขาจึงตัดสินใจกันว่าทุกสองหรือสามวัน หนึ่งในพวกเขาจะแวะเวียนไปที่เขาด้านหลัง เพื่อพบกับศิษย์น้องเย่

ส่วนจะสามารถดูดซับไอเซียนได้หรือไม่นั้น ก็คงขึ้นอยู่กับวาสนาของพวกเขาแล้ว

ทว่าเวลานี้เนื่องจากพลังในการขัดเกลาปราณวิญญาณครั้งแรกของเย่ฉางชิงนั้น ทรงอนุภาพเกินไป

ถึงขนาดทำให้หลี่ซิวหยวนรู้สึกว่าพลังวิญญาณภายในกายของตน เหมือนกำลังไหลออกจากร่างด้วย

เมื่อทนมิไหว หลี่ซิวหยวนจึงจำต้องบอกให้เย่ฉางชิงนั้นหยุดพักเสียก่อน

“ศิษย์น้องเย่ วันนี้เจ้าบำเพ็ญเพียรเท่านี้ก่อนเถอะ”

หลังจากเย่ฉางชิงหยุดลง หลี่ซิวหยวนก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง พลางเอามือไพล่หลัง

เย่ฉางชิงชะงักงัน ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่าต่อไป ข้าจะสามารถฝึกเคล็ดเทพปีศาจโบราณได้แล้วหรือขอรับ ? ”

“วันนี้หยุดบำเพ็ญเพียรชั่วคราวก่อน แล้วลองตั้งใจสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของตัวเองดูก่อน จากนั้นก็ให้ทำความเข้าใจกับสิ่งสำคัญในการฝึกเคล็ดเทพปีศาจโบราณ”

หลี่ซิวหยวนพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นเอ่ยอีกว่า “แล้ววันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกเคล็ดเทพปีศาจโบราณ”

เย่ฉางชิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

ผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ซิวหยวนจึงได้ยกข้ออ้างขึ้นมา เพื่อขอตัวไปจากเขาด้านหลัง และทิ้งเย่ฉางชิงไว้เพียงลำพัง

เยี่ยงไรเสียตอนนี้เขาก็มีรากวิญญาณธาตุทองคำขั้นกลางแล้ว จึงทำให้ก่อนหน้านี้ตอนแสดงเพลงกระบี่อัสนีคราม ที่นอกเรือนชวี่เหวินเซี่ยจึงเกิดความเข้าใจขึ้นมาก

เช่นนั้นเขาจึงอยากที่จะรีบกลับไปบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ ที่สำนักชิงหยางจนแทบจะทนมิไหวอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องเขาด้านหลังเนื่องจากศิษย์น้องเย่ผู้นี้ มีความเกี่ยวพันถึงอนาคตของสำนักชิงหยาง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติอันน่าทึ่ง

หากระหว่างที่เขาบำเพ็ญเพียรอยู่ ศิษย์น้องเย่ผู้นี้เกิดสงสัยและพบพิรุธบางอย่างเข้า ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงต้องลำบากเป็นแน่

จนท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงโดยมิรู้ตัว

ส่วนเย่ฉางชิงที่ยังอยู่ที่เขาด้านหลังเพียงลำพัง ก็หาได้รู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใดไม่

ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกมีความสุขอย่างมาก หลังจากที่เขาสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองได้

ตามที่ศิษย์พี่ใหญ่หลี่ซิวหยวนกำชับเอาไว้ก่อนหน้านี้ ต้องทำความเข้าใจส่วนสำคัญของเคล็ดเทพปีศาจโบราณให้ดี

เยี่ยงไรเสียในสายตาของเขา ศิษย์พี่ใหญ่หลี่ซิวหยวนก็คือผู้ที่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง

แต่ในเมื่อวันนี้ยังมิเหมาะที่จะเริ่มฝึกเคล็ดเทพปีศาจโบราณ เช่นนั้นเขาก็จะอาศัยโอกาสนี้พิจารณาภาพกระบี่ไร้สิ้นสุดต่อ

มินานหลังจากที่เย่ฉางชิงหลับตาลง พร้อมกับหัวสมองเริ่มจินตนาการไล่เรียงกระบวนท่ากระบี่ไร้สิ้นสุดอยู่นั้น

จู่ ๆ ทั่วทั้งเขาด้านหลังก็ถูกเจตจำนงแห่งกระบี่จำนวนมหาศาลปกคลุมเอาไว้อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ไอกระบี่อันดุดันก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เสียงคำรามดังกึกก้อง เป็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัวยิ่งนัก

ส่วนรอบกายของเย่ฉางชิงในตอนนี้

ได้มีร่างทองมากมายปรากฎขึ้น ในมือของพวกเขาล้วนกุมกระบี่ยาวเอาไว้ พลางออกกระบวนท่ากระบี่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

จนมิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร

ร่างระหงร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ที่เขาด้านหลังอย่างเงียบเชียบ

เห็นได้ชัดว่านางก็คือศิษย์คนที่สองของสำนักชิงหยาง

ชวี่เหวินเซี่ย

เมื่อสัมผัสถึงเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเขาด้านหลัง และมีแสงหลายสายพุ่งฉวัดเฉวียน ราวกับกระบวนท่ากระบี่ต่าง ๆ รอบกายเย่ฉางชิง

ชวี่เหวินเซี่ยพลันชะงักงัน ก่อนที่มุมปากจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา

ขณะเดียวกัน มิรู้ว่าเพราะเย่ฉางชิงสัมผัสได้ถึงการมาของนาง หรือเพราะเหตุผลใดก็มิอาจทราบได้ แต่จู่ ๆ เขาก็ได้หยุดสิ่งที่ทำอยู่ลงทันที

“ภาพกระบี่ไร้สิ้นสุดช่างยอดเยี่ยมไร้ที่เปรียบจริง ๆ เพียงแค่พิจารณาไปได้ร้อยกระบวนท่า รอบ ๆ ตัวกลับมืดลงเพียงนี้แล้วหรือเนี่ย”

เย่ฉางชิงพึมพำออกมาด้วยใบหน้าแฝงรอยยิ้ม

ตอนนั้นเอง น้ำเสียงอันอ่อนโยนและเต็มไปด้วยแรงดึงดูดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ศิษย์น้องเย่ นี่คือเพลงกระบี่ไร้สิ้นสุดที่เจ้าได้รู้แจ้งมาจากแผ่นหินทรงกระบี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ทันทีที่สิ้นเสียงเย่ฉางชิงก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมอง

“มิทราบว่า… ท่านคือ…”

เย่ฉางชิงเอ่ยถามชวี่เหวินเซี่ยที่สวมอาภรณ์สีแดงอย่างลังเล

“จริงด้วย ข้าลืมไปเลยว่าตั้งแต่เจ้าเข้ามาในสำนักชิงหยาง พวกเรายังมิเคยได้พบกันเลยนี่นา”

แต่ทันทีที่เย่ฉางชิงดื่มสุราจอกนั้นเข้าไป กลับต้องโก่งคอพ่นออกมาจนหมด

‘’นี่ยังเรียกว่าสุราได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

‘เหตุใดถึงดูปลอมเช่นนี้เล่า ! ’

‘นอกจากความเผ็ดร้อนแล้ว กลับมิมีรสชาติใด ๆ อีกเลย’

ทว่าเมื่อชวี่เหวินเซี่ยเห็นภาพตรงนั้น กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

‘ดูท่าศิษย์น้องเย่ผู้นี้คงจะดื่มสุรามิเป็น’

“ศิษย์น้อง เจ้ามิได้เป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ”

ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยพลางกลั้นขำเอาไว้

เย่ฉางชิงส่ายหน้าไปมา จากนั้นจึงเพ่งสมาธิหยิบสุราชิงอี่หนึ่งไห ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ

ความจริงแล้วเวลานี้เขาเองก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน

ตอนอยู่ที่โลกเซียนใบนั้น แม้สุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยความฝันอันยิ่งใหญ่กลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน ทว่าเมื่อมาที่โลกเซียนใบนี้

นอกจากช่วงหลัง ๆ ที่มิได้อยู่เมืองเสี่ยวฉือ รวมทั้งตบะบารมีระดับรวมชีพจรขั้นกลางแล้ว

แทบจะมิมีสิ่งของใดสูญหายไปเลย ทั้งหมดยังถูกเก็บเอาไว้ในแหวนเก็บสมบัติของเขาอยู่เหมือนเดิม

รวมทั้งสุราชิงอี่ที่เหลืออยู่มิมากนี้ด้วย

“ศิษย์พี่ชวี่ ท่านลองชิมสุราชิงอี่ที่ข้าเคยหมักเองดูสิขอรับ”

เย่ฉางชิงยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะดึงที่ปิดฝาออก และเติมสุราชิงอี่ให้ชวี่เหวินเซี่ยจนเต็มจอก

ทันใดนั้น หลังจากกลิ่นหอมขจรขจายแผ่ออกมาแล้ว

พลันดวงตาของชวี่เหวินเซี่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ราวกับได้ดอมดมกลิ่นสุราทิพย์ในตำนาน

‘น่าเหลือเชื่อ ! ’

‘น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’

‘คิดมิถึงว่าศิษย์น้องเย่ผู้นี้จะพกสุราชั้นดีเช่นนี้ติดกาย’

หลังจากลังเลเล็กน้อย ชวี่เหวินเซี่ยก็ยกขึ้นดื่มจนหมดจอก

ทว่าในวินาทีต่อมา ชวี่เหวินเซี่ยพลันใบหน้าแดงก่ำขึ้น ดวงตาหรี่ปรือ ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา ราวกับคนเมาอย่างหนักก็มิปาน

เห็นเช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงมิรู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี

‘แม้ว่าสุราชิงอี่นี้จะค่อนข้างแรง แต่ก็มิถึงขนาดที่ทำให้เมาได้รวดเร็วเพียงนี้กระมัง ? ’

‘มิน่าจะเป็นไปได้หรอกกระมัง ! ’

‘หรือว่าศิษย์พี่ชวี่จะแสร้งทำ ? ’

‘ตอนนั้นเองชวี่เหวินเซี่ยก็ยืนขึ้นอย่างโงนเงน ก่อนจะโซซัดโซเซมาหยุดตรงหน้าของเย่ฉางชิง’

“ศิษย์น้องเย่ เจ้าต้องการภรรยาหรือไม่ ? ”

มืออันเรียวยาวข้างหนึ่งของชวี่เหวินเซี่ยกดลงบนบ่าของเย่ฉางชิง พลางเอ่ยถามด้วยตาที่ปิดปรือ

เย่ฉางชิง : (⊙?⊙)

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน