ตอนที่ 37 เซียนอันดับหนึ่ง
หลายวันผ่านไป
วันนี้มีเรือเหาะยักษ์หลายลำเคลื่อนมาจากทิศใต้ของแคว้นต้าเยี่ยน และกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
เรือเหาะยักษ์ทุกลำล้วนถูกปกคลุมด้วยหมอกจาง ๆ มีแสงส่องสว่างและมีสัญลักษณ์โบราณลอยด้านบน ดูน่าอัศจรรย์ยิ่ง
ทุกที่ที่เรือเหาะยักษ์เหล่านี้เคลื่อนผ่าน พลันเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
“เจ้าเห็นธงที่เขียนว่า จื่อชิง ที่อยู่บนเสาของเรือเหาะลำแรกหรือไม่ ? ”
“นี่ก็คือเรือเหาะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงที่อยู่ทางใต้ของแคว้นต้าเยี่ยนของเรา ! ”
“หากเดามิผิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง คงจะไปร่วมงานประลองของศิษย์สองสำนัก ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นแน่”
“คาดมิถึงว่าเพียงพริบตาจะผ่านไปสิบปีแล้ว ภาพเรือเหาะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมาร่วมการประลองคราก่อนยังติดตาข้าอยู่เลย วันนี้กลับได้เห็นเรือเหาะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเช่นนี้อีก”
“เฮ้อ คนธรรมดาเยี่ยงพวกเราอย่างมากก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ร้อยปีเท่านั้น สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงเถ้ากระดูก แต่ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ต่างมีอายุยืนยาว สิบปีของพวกเขาก็เท่ากับเวลาหนึ่งวันของคนธรรมดาอย่างเราเท่านั้น”
“ใช่แล้ว ขอเพียงแค่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ก็จะกลายเป็นคนเหนือคน และยังเป็นเกียรติให้แก่วงศ์ตระกูลได้”
“เช่นนั้นเวลาจะซื้อบ้านต้องซื้อที่ใกล้กับสำนักบำเพ็ญเพียร เพื่อให้ลูก ๆ ของพวกเรามีพื้นฐานที่ดี มิเช่นนั้นก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนอย่างพวกเรา”
“……”
บนเรือเหาะลำที่อยู่หน้าสุด เหล่าศิษย์เอกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงกำลังยืนอย่างสง่าอยู่หน้าราวกั้น ใช้เคล็ดวิชาฟังความคิดคนธรรมดาเหล่านั้น
คนที่ได้ยินบ้างก็เมินเฉย บ้างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม บ้างก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันและดูถูกอย่างมิคิดทีจะปิดบัง
“คนธรรมดาเหล่านี้วาจาหยาบคาย สายตาตื้นเขิน อะไรคือซื้อบ้านต้องซื้อที่ใกล้กับสำนักบำเพ็ญเพียร เพื่อให้ลูกของตัวเองมีพื้นฐานที่ดี หารู้ไม่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการบำเพ็ญเพียรนั้นก็คือรากฐาน หากมีรากวิญญาณที่แย่ก็ไร้ค่า” ศิษย์สายตรงผู้หนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
ศิษย์สายตรงที่มีฐานะยากจนผู้หนึ่งจึงเอ่ยขัดขึ้นทันที “ศิษย์พี่ลู๋ หากข้าจำมิผิด ชาติกำเนิดของท่านก็มิได้ดีเท่าไรนักมิใช่หรือขอรับ ? ”
ชายหนุ่มผู้มีนามว่าลู๋หมางเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของทุกคนที่มองมา สีหน้าก็ขุ่นเคืองขึ้นมาในทันใด
เขาจึงหันไปถามศิษย์สายตรงผู้นั้นเสียงเข้มว่า “ศิษย์น้องสวี่ เจ้าตั้งใจจะหาเรื่องข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ศิษย์พี่ลู๋เข้าใจผิดแล้ว”
ศิษย์สายตรงนามว่าสวี่เจิ่นยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้ามิคิดที่จะหาเรื่องท่าน เพียงแต่ในสายตาพวกเรา แม้คำพูดของคนธรรมดาเหล่านี้จะดูว่าตื้นเขินนัก แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เราก็มิต่างอันใดจากคนธรรมดาเหล่านี้เลยนะขอรับ”
ลู๋หมางถลึงตาใส่ พลันเอ่ยด้วยความโมโหว่า “สวี่เจิ่น ไม่ว่าเยี่ยงไรเจ้าก็เป็นศิษย์น้อง เจ้ามิมีสิทธิมาสั่งสอนข้า ! ”
“ศิษย์พี่ลู๋ ท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว”
มุมปากของสวี่เจิ่นยกขึ้น พลางเหลือบมองลู๋หมางด้วยหางตา “ข้าแค่หมายความว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีชีวิต เช่นนั้นเราควรปฏิบัติต่อทุกคนด้วยหัวใจอันอบอุ่นและสายตาที่เท่าเทียมกัน อาจารย์เคยกล่าวไว้เช่นนั้นนี่ขอรับ”
สีหน้าของลู๋หมางแดงก่ำ หลังจากสวี่เจิ่นเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา เขาจึงมิกล้าโต้แย้งอีก
ตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีม่วง บนศีรษะสวมรัดเกล้าสีม่วงทอง เดินเอามือไพล่หลังก้าวมาอย่างช้า ๆ
ใบหน้างดงามดุจหยก ท่วงท่าองอาจห้าวหาญราวกับเทพเซียน ดูแตกต่างจากคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันยังแผ่ความน่าเกรงขามออกมาอีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน