เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 387

ตอนที่ 387 เมืองกระบี่สวรรค์

“ศิษย์พี่ซู ท่านมั่นใจหรือเจ้าคะว่าท่านมองมิผิด ? ”

ศิษย์หญิงที่ดูอายุน้อยที่สุดเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง “แม้จะมิสามารถสัมผัสถึงไอพลังและตบะบารมีใด ๆ ของบุรุษผู้นั้นได้ แต่สตรีนางนั้นที่มาด้วยกันหากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ คงจะมีตบะบารมีแดนก่อกำเนิดแล้ว”

ทันทีที่สิ้นเสียง

“จริงด้วย ศิษย์พี่ซู ท่านคงจะมองผิดแล้วกระมัง ! ”

มีคนเอ่ยด้วยความสงสัยเช่นกัน “แม้สำนักที่พึงพิงนิกายกระบี่สวรรค์ของพวกเราจะมีหลายร้อยสำนัก สำนักระดับเก้ายิ่งมีมากมายนับมิถ้วน แต่สำหรับสำนักชิงหยางนั้น ข้าจำได้อย่างแม่นยำ”

“เพราะสำนักนี้เป็นสำนักที่แปลกมาก แม้ว่าจะเป็นเพียงสำนักระดับล่างสำนักหนึ่ง และตลอดเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมา ยังมิเคยมีใครที่จะสามารถผ่านการทดสอบได้สำเร็จแม้แต่ผู้เดียว แต่ต้องยอมรับว่าศิษย์ของสำนักนี้แต่ละคน ล้วนมีรูปลักษณ์และลักษณะท่าทางที่โดดเด่นมากจริง ๆ ”

“พวกเขาทั้งสองคน คนหนึ่งมิสามารถสัมผัสได้ถึงไอพลังและตบะบารมี ส่วนอีกคนที่ดูอ่อนเยาว์และมีรูปโฉมงดงาม กลับมีตบะบารมีถึงแดนก่อกำเนิดแล้ว ดูท่าทางแล้วมิได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย”

ซูหรันเม้มริมฝีปากบางของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเพ่งสมาธิแล้วหยิบป้ายคำสั่งที่ชวี่เหวินเซี่ยส่งให้เมื่อครู่ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ

วินาทีต่อมา หลังจากนางผสานพลังวิญญาณเข้าสู่ป้ายคำสั่ง

มินานอักษรโบราณที่เขียนว่า สำนักชิงหยาง ก็ค่อย ๆ ปรากฏสู่สายตา

“บนป้ายคำสั่งนี้มีผนึกเฉพาะของนิกายกระบี่สวรรค์ของเราวางเอาไว้ คนอื่นมิสามารถเลียนแบบได้”

ซูหรันกวาดตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เช่นนี้แล้วก็หมายความว่าพวกเขาสองคนคงมาจากสำนักชิงหยางจริง ๆ ”

ได้ยินเช่นนั้นเหล่าศิษย์หญิง ต่างก็มองหน้ากันทันทีอย่างอดมิได้

นี่มันเรื่องอะไรกัน ?

พวกเขาสองคนมาจากสำนักระดับเก้าอย่างสำนักชิงหยางจริง ๆ น่ะหรือ

แต่ว่า

มิจริง !

สำนักระดับเก้าอย่างสำนักชิงหยาง แม้แต่เจ้าสำนักยังมีตบะบารมีเพียงแค่แดนก่อกำเนิดเท่านั้น

แต่บัดนี้ศิษย์สองคนที่มาเข้าร่วมการทดสอบ

ผู้หนึ่งมีลักษณะท่าทางโดดเด่น ราวกับสุดยอดเซียนก็มิปาน แม้แต่พวกนางก็มิอาจสัมผัสได้ถึงไอพลังและตบะบารมีใด ๆ

นั่นก็หมายความว่าตบะบารมีของคนผู้นี้ หากมิก็อยู่เหนือกว่าพวกนาง ก็อาจจะใช้ของวิเศษบางอย่าง หรือใช้เคล็ดวิชาลับปกปิดไอพลังของตนเองเอาไว้เป็นแน่

ส่วนอีกคนหนึ่งก็มีบุคลิกท่าทางที่สูงส่ง อีกทั้งยังมีตบะบารมีแดนก่อกำเนิดอีกด้วย

เมื่อเห็นเหล่าศิษย์น้องมีดวงตาเป็นประกาย ท่าทางเต็มไปด้วยความสงสัย

ซูหรันจึงกระแอมออกมาเบา ๆ ก่อนจะเตือนเสียงเรียบว่า “ศิษย์น้องทุกท่าน ระวังท่าทีของพวกเจ้าด้วย ยังมีศิษย์ของสำนักอื่นที่เราต้องตรวจสอบอีก”

ทุกคนต่างลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะถอยกลับไปยังตำแหน่งของแต่ละคน เพื่อทำหน้าที่ต่อไป

ในตอนนั้นเองซูหรันก็ลอบชำเลืองไปยังด้านหลังประตูเมือง อดมิได้ที่จะคิดถึงใบหน้าหล่อเหลา และแฝงด้วยรอยยิ้มสุภาพของบุรุษผู้นั้น

รูปลักษณ์และบุคลิกท่าทางเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังสู้มิได้กระมัง

‘จริงสิ ! ’

‘มิรู้ว่าคุณสมบัติของคนผู้เป็นเช่นไรกันแน่ ! ’

‘หากสามารถผ่านการทดสอบไปได้ ต่อให้จะเป็นเพียงศิษย์สายนอก แต่ภายภาคหน้าก็ยังสามารถให้มาบำเพ็ญเพียรเคียงข้างข้าได้’

‘รูปงามเช่นนี้ ช่างเพลินตายิ่งนัก’

‘และหากมีคุณสมบัติสูงส่ง และได้เป็นคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรด้วยกัน ย่อมดีอย่างยิ่ง’

คิดถึงตรงนี้ใบหน้ารูปไข่ของซูหรันก็อดมิได้ที่จะแดงระเรื่อขึ้นมา

ทว่ามินานนางก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะท่องเคล็ดวิชาเพื่อขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปทันที

แน่นอนว่าเวลานี้มิเพียงแต่ซูหรัน ทว่าศิษย์น้องที่เหลือเองต่างก็มีท่าทางเขินอายไปตาม ๆ กัน

ขณะเดียวกัน ห่างจากเมืองกระบี่สวรรค์ออกไปมิกี่ลี้

จูหวยเหรินกำลังยืนอยู่บนเรือเหาะเก่า ๆ ลำหนึ่ง

ส่วนตรงหน้าของเขานั้น มีบุรุษและสตรีสามคนกำลังยืนอยู่อย่างนอบน้อม

“พวกเจ้าสามคนจงจำเอาไว้ ! ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน