ตอนที่ 43 ผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนดูแปลกไป
เนื่องด้วยปรากฏผู้บรรเลงเพลงฮั่วฟานขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านมานับแสนปี
ทำให้มิว่าจะเป็นแดนรกร้างทางเหนือที่เป็นพื้นที่ของเผ่ามาร หรือเทือกเขาแดนใต้อันเป็นที่ตั้งของเผ่าปีศาจ ต่างก็เกิดความปั่นป่วนไปทุกหย่อมหญ้า
แน่นอนว่าการบรรเลงเพลงฮั่วฟานของเย่ฉางชิงนั้น ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายทั่วทั้งจงหยวนต่างก็ได้ยินกันทั่วเช่นกัน
เพียงแต่พวกเขากลับคิดว่าบทเพลงที่แฝงความลึกลับเช่นนี้ ต้องมาจากปรมาจารย์ที่แตกฉานในวิถีดนตรีเป็นแน่ เช่นนั้นพวกเขาจึงมิได้ใส่ใจมากนัก
ขณะเดียวกันพวกเขาต่างก็มิมีใครคาดคิดว่าเพลง ๆ นี้ จะนำภัยพิบัติมาสู่จงหยวนในอีกมินาน
………………………
ณ ยอดเขาไท่เสวียน
หลังจากศิษย์ที่ทำหน้าที่เวรยามสังเกตเห็นว่า บนเรือเหาะยักษ์หลายลำที่เข้ามาใกล้มีธงจื่อชิงติดอยู่ จึงได้รีบไปรายงานแก่นักพรตฉางเสวียนทันที
ณ ตำหนักไท่เสวียน
“เรียนท่านเจ้าสำนัก เรือเหาะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง หยุดอยู่ด้านนอกค่ายกลป้องกันภูผาแล้ว จะให้พวกเขาผ่านเข้ามาเลยหรือไม่ขอรับ”
ศิษย์ที่ทำหน้าที่หัวหน้าเวรยามประสานมือคารวะนักพรตฉางเสวียน ที่นั่งอยู่ในตำหนักอย่างนอบน้อม
“มากันเร็วดีนี่”
นักพรตฉางเสวียนยกมือขึ้นลูบหนวด ดวงตามีประกายบางอย่างพาดผ่าน ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็ปิดค่ายกลป้องกันภูผาชั่วคราว แล้วปล่อยพวกเขาเข้ามาก็แล้วกัน”
“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ ! ”
ศิษย์ที่ทำหน้าที่เวรยามหมุนตัวออกไปจากตำหนักทันที หลังจากได้รับคำอนุญาตจากนักพรตฉางเสวียน
ขณะเดียวนักพรตฉางเสวียนก็ได้ลุกขึ้นยืน พลางกวาดสายตามองผู้อาวุโสทั้งหลายที่นั่งอยู่ “ทุกท่าน ในเมื่อคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงมาถึงแล้ว พวกเราก็ควรทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีลงไปต้อนรับพวกเขากันเถิด”
“ขอรับศิษย์พี่”
เอ่ยจบเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็พากันลุกขึ้นยืน
นักพรตฉางเสวียนเป็นผู้เดินนำ โดยมีเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เดินตามหลัง แบ่งเป็นสองแถวเรียงตามลำดับอาวุโส
ทันทีที่ออกจากตำหนักไท่เสวียน นักพรตชิงเย่ที่อยู่ด้านหลังของนักพรตฉางเสวียนก็ได้เอ่ยถามขึ้น “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ครานี้ท่านมั่นใจว่าจะทำลายกลหมากสี่มังกรพ่นวารีของเจ้าสำนักจื่อชิงได้แน่นะขอรับ ? ”
นักพรตฉางเสวียนได้ยินก็เหลือบมองนักพรตชิงเย่ พลางแค่นหัวเราะออกมา “บัดนี้ข้าได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากท่านบรรพจารย์เย่แล้ว การจะทำลายกลหมากสี่มังกรพ่นวารีนั้นจึงง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก”
เห็นนักพรตฉางเสวียนมีท่าทางมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ นักพรตชิงเย่จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างมิแน่ใจนัก
มิใช่ว่าเขามิเชื่อในตัวของท่านบรรพจารย์เย่ที่เร้นกายอยู่ด้านล่าง
เพียงแต่หลายปีมานี้ศิษย์พี่ฉางเสวียนสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปมากมาย จนเขามิแน่ใจว่าครั้งนี้จะชนะได้จริงหรือไม่
อีกทั้งเมื่อครู่นักพรตฉางเสวียนยังได้กล่าวกับทุกคนในตำหนักไท่เสวียนว่า ครานี้เขาจะเอาคืนทุกอย่างที่เคยพ่ายแพ้กลับมาให้หมด !
การที่จะนำสมบัติที่เสียไปจากการพ่ายแพ้คราก่อนกลับคืนมานั้น เท่ากับต้องนำสมบัติที่มีมูลค่าเทียบเท่ากันออกมาด้วย นี่จึงถือว่าเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่เลยทีเดียว
แม้เขาจะมิทราบว่าฝีมือการเดินหมากของนักพรตฉางเสวียนตอนนี้อยู่ในระดับใด แต่เมื่อก่อนฝีมือเป็นเยี่ยงไรนั้นพวกเขาต่างก็ทราบกันดี
เดินได้เพียงมิกี่ก้าว จู่ ๆ นักพรตฉางเสวียนก็หยุดฝีเท้าลง
เขากวาดตามองไปยังทุกคน แล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจังว่า “ทุกท่าน อีกสักครู่เมื่อได้พบคนแซ่สวีแล้ว ให้ทำตามแผนที่ข้าวางเอาไว้อย่าได้เผยพิรุธใด ๆ ออกมาเป็นอันขาด อย่าลืมว่าคนแซ่สวีนั้นเป็นคนขี้ระแวงมาก”
เหล่าผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่ได้ยินต่างก็สบตากัน ก่อนพยักหน้ารับอย่างลังเลเล็กน้อย
ความจริงแล้วสิ่งที่นักพรตชิงเย่กำลังกังวลอยู่นั้น ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็กังวลเช่นเดียวกัน
หลังจากกลุ่มของนักพรตฉางเสวียนมาถึงลานกว้างด้านล่างได้มินาน เรือเหาะยักษ์หลายลำที่ผ่านค่ายกลป้องกันภูผาของเขาไท่เสวียนเข้ามา ก็ทยอยลงมาจอดบนลานกว้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน