ตอนที่ 451 ข่าวอันน่าตกใจ
ทว่าเมื่อได้ฟังขงซิงเจี้ยนกล่าวจนจบ เจี้ยนอู๋เหินก็อดมิได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
ศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ที่เป็นอัจฉริยะวิถีเซียนในรอบพันปี ผู้มีรูปลักษณ์และท่าทางอันโดดเด่น ต้องไปคอยรับใช้คนอื่นเนี่ยนะ
นี่มิได้ล้อเล่นอยู่ใช่หรือไม่ ?
หรือนิกายกระบี่สวรรค์ในยุคนี้จะรุ่งเรืองขึ้นแล้ว ถึงได้มีคนที่โดดเด่นเช่นเขาถือกำเนิดขึ้นมากมายจนเต็มไปหมด ?
“ตาเฒ่าขง เจ้าตั้งใจจะกลั่นแกล้งข้าใช่หรือไม่ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินชี้ไปที่หน้าของตนเอง พลางถลึงตาและตะคอกใส่ขงซิงเจี้ยน “จำเอาไว้ ข้าคือเจี้ยนอู๋เหิน ศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ อัจฉริยะวิถีเซียนที่ถือกำเนิดในรอบพันปี ใช้เวลาสามปีก็สามารถรู้แจ้งจิตกระบี่หยั่งรู้ระดับสี่ได้สำเร็จ”
ขงซิงเจี้ยนที่ได้ฟังคำกล่าวของเจี้ยนอู๋เหินเช่นนั้น กลับยังคงมีใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน และมิมีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด
“เด็กน้อย หากข้าบอกว่าภาพอักษรพู่กันที่เจ้าเพิ่งทำความเข้าใจไปเมื่อครู่ ก็มาจากท่านเย่เล่า ? ”
ขงซิงเจี้ยนเบนสายตาไปยังภาพอักษรพู่กันที่ลอยอยู่กลางอากาศ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ภาพอักษรพู่กันภาพนั้น ?
ท่านเย่ ?
เจี้ยนอู๋เหินมีท่าทีอ่อนลง อดมิได้ที่จะกะพริบตาปริบ ๆ
‘ผู้ที่เขียนภาพอักษรพู่กันที่แฝงเจตนาแท้จริงของกระบี่ไร้ที่สิ้นสุดภาพนี้ เวลานี้อยู่ในนิกายกระบี่สวรรค์งั้นหรือ ? ’
‘อีกทั้งข้าต้องไปคอยดูแลรับใช้บุคคลที่ไร้เทียมทานท่านนี้งั้นหรือ ? ’
‘นี่มัน ! ! ! ’
‘บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ก็เป็นได้’
‘เยี่ยม ! ’
‘เยี่ยมไปเลย !’
เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ท่าทีของเจี้ยนอู๋เหินก็อ่อนลง ใบหน้าหล่อเหลาพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดี
“ท่านบรรพจารย์ ท่านนี่มิไหวเลย”
เจี้ยนอู๋เหินเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุยกันมาครึ่งค่อนวัน เหตุใดมิท่านถึงมิเอ่ยเรื่องสำคัญเช่นนี้ออกมาตรง ๆ เล่า หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน ศิษย์ย่อมยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว”
ขงซิงเจี้ยนจึงเอ่ยต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้ที่ข้าย้ายส่วนบนของยอดเขากระบี่ปรารถนาไป ก็เพื่อจัดเตรียมสถานที่ในการบำเพ็ญเพียรให้กับท่านเย่ ตอนนี้เจ้าคงมิถือสาแล้วใช่หรือไม่ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินพยักหน้ารับในทันที “บุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้เลือกบำเพ็ญเพียรที่นิกายกระบี่สวรรค์ อย่าว่าแต่ยอดเขากระบี่ปรารถนาเลย ต่อให้ต้องย้ายตำหนักพันกระบี่ของท่านอาจารย์ก็ถือสมเหตุสมผลแล้ว”
“คนหนุ่มนี่เข้าใจอันใดง่ายจริง ๆ ”
ขงซิงเจี้ยนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่ก็อดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา “หากเหยาห้าวหยานมีสติปัญญาได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า หลายปีมานี้เขาคงมิย่ำอยู่กับที่เช่นนี้แน่”
เจี้ยนอู๋เหินดวงตาเป็นประกาย พร้อมกับเอ่ยเร่งขึ้นมาทันที “ท่านบรรพจารย์ เช่นนั้นท่านคิดจะพาข้าไปพบยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานท่านนั้นเมื่อใดหรือขอรับ ? ”
“มิต้องรีบ”
ขงซิงเจี้ยนโบกมือเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ช่วงนี้เจ้าพักกับข้าที่นี่ไปก่อน รอให้ข้าหยั่งเชิงท่านเย่ดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
เจี้ยนอู๋เหินนิ่งงันไป ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างว่า “ท่านบรรพจารย์ เช่นนี้ท่านคงมิว่าอันใดถ้าศิษย์จะทำความเข้าใจเจตนาแท้จริงของกระบี่บนภาพอักษรพู่กันภาพนี้ต่อ ใช่หรือไม่ขอรับ ? ”
ขงซิงเจี้ยนมิได้ตอบกลับ เขาเพียงแค่ปรายตามองเจี้ยนอู๋เหินเล็กน้อยเท่านั้น
เจี้ยนอู๋เหินก็มิได้ถามสิ่งใดขงซิงเจี้ยนอีก จากนั้นก็ได้เดินตรงไปและนั่งสมาธิลงใต้ภาพอักษรพู่กัน และตั้งใจทำความเข้าใจอีกครั้ง
ส่วนขงซิงเจี้ยนนั้นจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเจี้ยนอู๋เหิน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้น จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อย ๆ เลือนหายไป และแทนที่ด้วยความสลดใจแทน
“เจ้าเด็กคนนี้แม้จะมีคุณสมบัติวิถีกระบี่อันน่าทึ่ง แต่เยี่ยงไรซะเขาก็เป็นศิษย์เอกของนิกายกระบี่สวรรค์ ที่อีกมินานจะต้องรับหน้าที่สืบทอดนิกายต่อ”
ขงซิงเจี้ยนพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ พลางทอดถอนใจออกมา “นั่นหมายความว่าเขาถูกกำหนดให้สืบทอดวิชาที่ท่านประมุขคนแรกทิ้งเอาไว้ หาใช่เคล็ดวิชาของข้าไม่ น่าเสียดายและน่าเศร้าใจยิ่งนัก ! ”
จนผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
เมื่อราตรีมาเยือน ระหว่างที่ความมืดเข้าครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน