เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 58

สรุปบท ตอนที่ 58 มิรู้ว่าตอนนี้ท่านบรรพจารย์เย่เป็นเช่นไรบ้าง ?: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

อ่านสรุป ตอนที่ 58 มิรู้ว่าตอนนี้ท่านบรรพจารย์เย่เป็นเช่นไรบ้าง ? จาก เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 58 มิรู้ว่าตอนนี้ท่านบรรพจารย์เย่เป็นเช่นไรบ้าง ? คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายแปล เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 58 มิรู้ว่าตอนนี้ท่านบรรพจารย์เย่เป็นเช่นไรบ้าง ?

“นี่… นี่มันเจตจำนงกระบี่ ข้ารู้สึกได้ถึงไอพลังของเจตจำนงกระบี่”

“เสียงดังสนั่นเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่อีกด้วย หรือว่าการประลองครั้งนี้ยังมีศิษย์สายตรงที่เข้าญานอยู่ ทั้งยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งด้วยเยี่ยงนั้นหรือ”

“น่าเหลือเชื่อจริง ๆ คนผู้นี้เป็นใครกันถึงได้แตกฉานในวิถีกระบี่ถึงเพียงนี้”

“มิกี่วันก่อนที่ยอดเขาฉางหมิงเพิ่งเกิดประกายกระบี่สีทองที่น่ากลัวไป มาวันนี้ก็บังเกิดเสียงดังสนั่นเช่นนี้อีก หรือว่าศิษย์ทั้งหมดของดินแดนไท่เสวียนจะเปลี่ยนไปฝึกวิถีกระบี่กันหมดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว ศิษย์สายตรงผู้นี้ของพวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ? ”

“เสียงดังสนั่นเช่นนี้มาจากยอดเขากระบี่วิญญาณ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดคงจะเป็นศิษย์พี่ลู่มิผิดแน่”

“ลู่อู๋ซวง ? ”

“เป็นนางเองหรือ ข้าจำได้ว่าในงานประลองครั้งก่อนยังเคยประมือกับนางด้วย ความแตกฉานในวิถีกระบี่ของนางมิอาจประมาทได้ทีเดียว”

“แต่การที่นางสามารถทำให้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นเช่นนี้ มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือไม่”

“……”

ขณะที่ศิษย์ของทั้งสองสำนักกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและทอดสายตามองไปยังยอดเขากระบี่วิญญาณอยู่นั้น เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักที่นั่งอยู่บนที่นั่งชมด้านนอก กลับเห็นปรากฏการณ์นั้นต่างออกไป

สวีฉิงเทียนเปิดจิตสัมผัสเพื่อรับรู้ เจตจำนงแท้จริงของกระบี่ที่แฝงอยู่ในประกายกระบี่ขาวดำนั้น ก่อนจะหันไปมองทางนักพรตฉางเสวียน

“พี่เหอ หรือว่าศิษย์ผู้นี้ของพวกท่านก็ได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสลึกลับที่ท่านเอ่ยถึงผู้นั้นด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เนื่องจากเจตจำนงแท้จริงของกระบี่ที่แฝงอยู่ในประกายกระบี่ขาวดำนั้น เหนือกว่าประกายกระบี่สีทองที่ยอดเขาฉางหมิงหลายเท่า อีกทั้งยอดเขาฉางหมิงยังเป็นที่พำนักของผู้สืบทอด จึงเดาได้มิยากว่าประกายกระบี่สีทองนั้นต้องเกี่ยวข้องกับผู้สืบทอดซึ่งเปลี่ยนมาฝึกวิถีกระบี่เป็นแน่

แต่ลำแสงประกายกระบี่ขาวดำนี่มันอะไรกันแน่ ?

ใครกันที่บรรลุจนสั่นสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ได้ ?

หรือว่าสิบปีมานี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะได้รับศิษย์ที่มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรที่เหนือกว่าผู้สืบทอดเช่นหลี่ฉางหมิงอีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

สวีฉิงเทียนจึงอดที่จะเอ่ยถามนักพรตฉางเสวียนออกมาด้วยความสงสัยมิได้

นักพรตฉางเสวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม

“เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ”

สวีฉิงเทียนจึงโต้กลับด้วยสีหน้าที่เข้มขึ้นทันที “เจ้าคงจะรู้ว่าข้ามิเพียงบำเพ็ญเพียรถึงแดนเทวา อีกทั้งยังบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ด้วย เจ้ามิเข้าใจหรอกว่าการที่เจตจำนงแท้จริงของกระบี่ปรากฏขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองแบบเช่นนี้ มีความหมายเยี่ยงไรและยากเพียงใด”

ใบหน้าของนักพรตฉางเสวียนยังคงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มสงบนิ่ง ขณะมองไปยังสวีฉิงเทียน และมิมีทีท่าจะกล่าวสิ่งใด

ตอนนั้นเองนักพรตหยวนเจี้ยนที่อยู่ทางด้านหลังได้มองออกไปทางยอดเขากระบี่วิญญาณ พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ในทีแรกนั้นข้าเองก็มิเชื่อว่าจะสามารถบำเพ็ญเพียรเจตจำนงแท้จริงของกระบี่สองแบบหรือมากกว่านั้น แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วจะมิยอมรับมันได้เยี่ยงไร”

เอ่ยถึงตรงนี้นักพรตหยวนเจี้ยนก็ดึงสายตากลับมา พร้อมเอ่ยอย่างมีลับลมคมนัยว่า “พี่สวี เยี่ยงไรเสียคนแก่เยี่ยงพวกเราก็มีสายตาที่คับแคบราวกับกบในกะลา”

สวีฉิงเทียนหันไปมองนักพรตหยวนเจี้ยนแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่

‘หรือว่าโลกนี้จะมีปรมาจารย์วิถีกระบี่เช่นนี้อยู่จริง ๆ เป็นข้าที่ดื้อรั้นเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่งั้นหรือ ? ’

สวีฉิงเทียนเริ่มรู้สึกสงสัยในความรู้เรื่องวิถีกระบี่ของตนเองขึ้นมา เมื่อมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของนักพรตหยวนเจี้ยน

‘ก่อนหน้านี้ที่ข้าแพ้หมากล้อมให้แก่นักพรตฉางเสวียน ต้องเป็นเพราะผู้อาวุโสลึกลับท่านนั้นคอยชี้แนะอยู่เบื้องหลังเป็นแน่’

ผมดำขลับที่พลิ้วไหวราวกับเกลียวคลื่น กระโปรงสีขาวดุจหิมะปลิวไสว ช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับเทพธิดามาจุติอยู่เบื้องหน้า

ผู้ที่มาใหม่ก็คือลู่อู๋ซวงที่พึ่งออกญานนั่นเอง

ด้วยความที่นางได้บรรลุวิถีกระบี่ขั้นสูงขึ้น จึงทำให้ตอนนี้ทั้งรูปลักษณ์และลักษณะท่าทางของนางดูงดงามขึ้นอย่างมากอีกด้วย

“ศิษย์พี่ลู่”

ขณะที่ลู่อู๋ซวงหยุดลงบนพื้นเวทีประลองเวทีหนึ่ง เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที พร้อมกับพากันประสานมือคารวะให้แก่ลู่อู๋ซวง

ใบหน้าที่งดงามของลู่อู๋ซวงตอนนี้มิได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ นางเพียงพยักหน้ารับก่อนจะหมุนตัวไปโค้งคารวะให้แก่เหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนที่นั่งชม

ขณะนั้นเองหลี่ฉางหมิงที่ยืนตระหง่านอยู่บนเวทีประลองกลางก็ประสานมือคารวะ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องลู่ ยินดีด้วยครานี้เจ้าก้าวหน้าในวิถีกระบี่ขึ้นอีกขั้นแล้ว”

ลู่อู๋ซวงจึงหมุนตัวไปพยักหน้าให้แก่หลี่ฉางหมิง และเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “เดิมข้าคิดจะบำเพ็ญเพียรต่ออีกสักพัก แต่กลับเป็นกังวลว่าจะพลาดการประลองในครั้งนี้ เช่นนั้นจึงได้ออกจากญานเสียก่อน”

อินฉางเฟิงสัมผัสได้ถึงไอพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของลู่อู๋ซวง จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “หากข้าเดามิผิด เจ้าเองก็ได้พบโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาเช่นกันใช่หรือไม่ ? ”

ลู่อู๋ซวงหันไปมองอินฉางเฟิง ก่อนจะเอ่ยตอบตามตรง “ข้าขอบอกตามตรงว่าสาเหตุสำคัญที่ข้าออกญานมาก่อนก็เพราะอยากจะประลองกระบี่กับท่าน”

อินฉางเฟิงได้ยินดังนั้นก็นิ่งอึ้งไปทันที ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา “แม่นางลู่มาทันเวลาพอดี ข้ากำลังอยากจะหาคนมาประลองกระบี่ด้วยอยู่พอดี”

ลู่อู๋ซวงจึงพยักหน้าให้แต่ขณะที่นางกำลังจะเหาะไปยังเวทีกลางลานเพื่อประลองกระบี่กับอินฉางเฟิง จู่ ๆ ก็หยุดฝีเท้าลงและหันไปมองทางเมืองเสี่ยวฉือ

“มิรู้ว่าตอนนี้ท่านบรรพจารย์เย่เป็นเช่นไรบ้าง ? ”

ลู่อู๋ซวงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน