ตอนที่ 62 วิถีบำเพ็ญเพียรของเย่ฉางชิง
จวบจนพระจันทร์ลอยเด่น หมู่ดาวระยิบระยับท่ามกลางท้องนภา อากาศยามค่ำหนาวเย็นจับใจ ทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือเต็มไปด้วยความเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรในยามค่ำคืนเท่านั้น
อารมณ์ของเย่ฉางชิงจึงได้ค่อย ๆ สงบลง
ตอนที่เขามาถึงโลกเซียนแห่งนี้ครั้งแรก และเข้าร่วมทดสอบรากวิญญาณนั้น
ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นั้นเคยบอกไว้ว่า รากวิญญาณถือว่าเป็นพื้นฐานของผู้บำเพ็ญเพียร คุณภาพของรากวิญญาณเป็นตัวตัดสินความสำเร็จในภายภาคหน้า รวมทั้งความเร็วที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียร
แต่คนที่มิมีรากวิญญาณเช่นเขานั้น กลับพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
แม้มิรู้ว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าผู้ที่มิมีรากวิญญาณนั้นมิสามารถบำเพ็ญเพียรได้อย่างแน่นอน
เท่ากับถูกกำหนดให้เป็นเพียงคนธรรมดาไปชั่วชีวิต
แม้ห้าปีมานี้คนภายนอกจะมองว่าเย่ฉางชิงเป็นชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ราวกับมิต้องการยุ่งเกี่ยวกับทางโลก แต่จะให้ผู้ทะลุมิติเช่นเขาทำใจยอมรับได้เยี่ยงไรกัน ?
เช่นนั้นก็เท่ากับทำให้เหล่าผู้ทะลุมิติต้องอับอายขายขี้หน้าน่ะสิ
ถึงแม้ห้าปีมานี้ เย่ฉางชิงจะมิได้มีพัฒนาการในด้านการบำเพ็ญเพียร แต่ความแตกฉานในด้านพิณ หมากล้อม อักษรพู่กัน และภาพวาดของเขา กลับก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากตอนนี้เขากลับไปยังโลกปัจจุบัน เขามั่นใจว่าตนเองนั้นต้องได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ด้านนี้อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ภาพวาดที่แทรกบทกวีของเขายังสามารถเกิดนิมิตขึ้นอย่างคาดมิถึงอีกด้วย
แม้นิมิตนั้นจะดูมิมีประโยชน์ แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำให้คนตื่นตกใจได้ดีทีเดียว
หรือจะแฝงความนัยบางอย่างเอาไว้ ?
เย่ฉางชิงนึกถึงเรื่องนี้ดวงตาก็เปล่งประกายบางอย่างขึ้นมา พลางครุ่นคิดว่า ‘หรือทั้งหมดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่าข้ามิควรเดินบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เมื่อก่อนตอนอ่านนิยายแนวบำเพ็ญเพียรกับแนวแฟนตาซี บางคนอ่านหนังสือจนกลายเป็นเทพอักษร บางคนเผยแพร่พระธรรมจนได้รับพรที่ฟ้าประทานนับอนันต์ จนได้ขึ้นสรวงสวรรค์ สรุปก็คือทุกหนทางล้วนแล้วแต่เป็นหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ทั้งสิ้น’
แววตาของเย่ฉางชิงเป็นประกาย ขณะพึมพำกับตัวเอง
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปเย่ฉางชิงก็ได้ลุกขึ้นนั่ง
‘ห้าปีที่ผ่านมา ภาพวาดและภาพอักษรพู่กันของข้าก้าวหน้าอย่างมาก อีกทั้งบัดนี้ยังเกิดนิมิตได้อีกด้วย หรือนี่จะเป็นหนทางที่ข้าควรจะก้าวเดิน ? ’
คิดถึงตรงนี้เย่ฉางชิงก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
‘แม้ตอนนี้จะปลุกได้เพียงนิมิตที่มิมีประโยชน์อะไร แต่ก็เป็นเครื่องบ่งบอกว่าข้านั้นได้รับการยอมรับจากวิถีเต๋าแห่งฟ้าดินแล้ว และเป็นการบอกว่าข้ายังแตกฉานในด้านนี้มิมากพอ ยังต้องพัฒนาขึ้นไปอีก’
‘อาจเป็นเช่นนี้ก็ได้’
‘มิใช่ ต้องเป็นเช่นนี้แน่’
ใบหน้าของเย่ฉางชิงเต็มไปด้วยความแน่วแน่ในทันใด
เขาตัดสินใจแล้ว
นับจากนี้ต่อไปเขาจะเดินในเส้นทางนี้ เพื่อขึ้นสรวงสวรรค์ให้จงได้
แม้เส้นทางนี้จะมิได้เป็นอย่างที่ใจคิด แต่การมีเส้นทางให้เดินย่อมดีกว่าไร้ซึ่งหนทางอยู่แล้ว
คิดได้เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงเหลือบมองไปยังกองกระดาษเคล็ดวิชาเหนือปฐพีบนโต๊ะ
‘นับแต่นี้ข้าจะเดินตามเส้นทางบำเพ็ญเพียรของตัวเอง บำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาไร้พ่ายอะไรนี่ มิใช่เส้นทางของข้า’
เอ่ยจบ เย่ฉางชิงก็หยิบเคล็ดวิชาทั้งหมดขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางห้องครัวทันที
มินานก็มีควันลอยขึ้นจากปล่องไฟ
เห็นได้ชัดว่าเย่ฉางชิงได้เผาเคล็ดวิชาที่เคยทำให้โลกแห่งเซียนสั่นสะเทือนทิ้งไปเสียแล้ว
แต่สิ่งที่เย่ฉางชิงมิรู้ก็คือ จวบจนทุกวันนี้เคล็ดวิชาที่ฝึกแล้วไร้พ่ายเล่มนี้ มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถไขรหัสเหล่านั้นได้สำเร็จ
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม เย่ฉางชิงก็เดินออกมาจากในครัวพร้อมบะหมี่ชามหนึ่ง
โดยมิได้ตั้งใจ
เย่ฉางชิงบังเอิญเหลือบไปเห็นเคล็ดวิชาไร้พ่ายบางส่วน ที่ถอดรหัสสำเร็จแล้วยังกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน