เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 65

สรุปบท ตอนที่ 65 อาวุธเทพจำแลงจริงด้วย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 65 อาวุธเทพจำแลงจริงด้วย – เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet

บท ตอนที่ 65 อาวุธเทพจำแลงจริงด้วย ของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน ในหมวดนิยายนิยายแปล เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 65 อาวุธเทพจำแลงจริงด้วย

หลังมองหลี่ฉางหมิงและลู่อู๋ซวงจากไปจนลับตาแล้ว นักพรตฉางเสวียนก็เดินเข้าสู่ทางเดินด้านหลังของตำหนักไท่เสวียนอย่างรีบร้อน

ทางเดินเส้นนี้ลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก

ปากทางเข้าถูกปกปิดด้วยค่ายกลมายา ระหว่างทางเดินก็มีค่ายกลสังหารอันน่ากลัวมากมายถูกวางเอาไว้

ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องเส้นทางนี้

นั่นก็คือเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ดูก็รู้ว่าสถานที่ปลายทางของเส้นทางนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับชะตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นแน่

ระหว่างทางเดินที่มืดสลัว นักพรตฉางเสวียนถือตราโบราณเอาไว้ในมือและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

ทันใดนั้นก็เกิดแสงสะท้อนพุ่งออกมาจากมุมด้านหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เกิดไอพลังรุนแรงพัดมา

นักพรตฉางเสวียนราวกับคุ้นชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นเสียแล้ว เขาเพียงหรี่ตาและกระชับมือถือตราโบราณแน่นขึ้น ก่อนจะก้าวเดินต่อไปมิหยุด

มินานภาพอันน่าตกตะลึงก็ปรากฏสู่สายตา

ตราประทับสำริดโบราณที่ปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์มากมายลอยคว้างอยู่กลางอากาศ

สัญลักษณ์มากมายบนตราประทับสำริดส่องประกายสีทองเจิดจ้า บางคราสัญลักษณ์โบราณเหล่านี้ก็ขยับได้ราวกับมีชีวิต

อีกทั้งรอบ ๆ ตราประทับสำริดนี้ ยังมีหินเจิ้นหลิงขนาดใหญ่สามสี่ก้อนที่เป็นอาวุธวิเศษของค่ายกลลอยวนอยู่รอบ ๆ บนหินเจิ้นหลิงมีสัญลักษณ์โบราณสลักอยู่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่ต่างจากตราประทับสำริดก็คือ แสงที่ส่องออกมาจากสัญลักษณ์เหล่านี้กลับเป็นสีฟ้า อีกทั้งไอพลังที่แผ่ออกมาก็ต่างกันอีกด้วย

แค่เข้าใกล้บริเวณนั้นก็จะรับรู้ได้ถึงพลังงานอันน่ากลัวที่ซุกซ่อนอยู่

มิเพียงเท่านั้น ปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่ยังทรงพลังมากอีกด้วย ราวกับเมฆหมอกที่ปกคลุมที่นี่เอาไว้ ทั้งยังบริสุทธิ์เพียงแค่สูดดมเข้าไปก็ทำให้คนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในพริบตาเลยทีเดียว

แน่นอนว่าที่นี่ก็คือสถานที่กำเนิดรากฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั่นเอง

เป็นศูนย์กลางของค่ายกลป้องกันภูผาที่ปกคลุมทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ในการรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินทั่วทุกสารทิศมาไว้ที่นี่ด้วย

ส่วนตราประทับสำริดที่อยู่ใจกลางนั้นก็คือดวงตาของค่ายกล หรือก็คือตราประทับไท่เสวียนที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนถือกำเนิดขึ้น

ตราประทับไท่เสวียนนับเป็นสมบัติโบราณชั้นสูงชิ้นหนึ่ง

“ฟิ้ว ! ”

มีไอพลังแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงแผ่ออกมาจากตราประทับไท่เสวียน

วินาทีนี้แม้แต่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ที่บรรลุขั้นแดนเทวามานับพันปีเช่นนักพรตฉางเสวียนก็ยังอดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความตระหนกมิได้

แต่มินานใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็ปรากฏรอยยิ้มที่แฝงด้วยเลศนัยบางอย่างออกมา

‘หากสามารถนำเอาสมบัติโบราณสองชิ้นที่ได้รับมาเป็นดวงตาของค่ายกลป้องกันภูผาได้ ถึงเวลาที่ค่ายกลถูกเปิด เกรงว่าคงมีเพียงท่านบรรพจารย์เย่ที่จะสามารถทำลายได้กระมัง ? ’

นักพรตฉางเสวียนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ก่อนที่จะเพ่งสมาธิแล้วหยิบระฆังสําริดที่สวีฉิงเทียนมอบให้ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ

เขาถือระฆังสําริดด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘ด้านบนของระฆังสําริดใบนี้เหมือนมีผนึกโบราณอยู่ หลังจากเปิดผนึกแล้ว หวังว่าตราประทับไท่เสวียนคงจะสามารถสะกดพลังของระฆังนี้เอาไว้ได้นะ’

หลังจากพึมพำกับตัวเองแล้วนักพรตฉางเสวียนจึงสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นระฆังสําริดที่มีรอยร้าวใบนี้ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ

ก่อนจะลอยไปหาตราประทับไท่เสวียน ด้วยการควบคุมของนักพรตฉางเสวียน

“ปัง ! ”

ขณะที่ระฆังสําริดอยู่ห่างจากตราประทับไท่เสวียนเพียงมิกี่เชียะ ก็พลันปรากฏภาพอันน่ากลัวขึ้น

ตราประทับไท่เสวียนราวกับรับรู้ถึงไอพลังบางอย่าง จึงเกิดการสั่นสะเทือนพร้อมกับส่งเสียงดังออกมาเป็นระลอก ก่อนจะระเบิดลำแสงเจิดจ้ามากมายออกมา

ขณะเดียวกันไอพลังอันน่ากลัวก็ได้แผ่พระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ แม้นักพรตฉางเสวียนจะใช้ลมปราณคุ้มกายป้องกันตนเองเอาไว้ แต่ก็ยังต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างต้านมิอยู่

“ปัง ! ”

มิกี่อึดใจ ตราประทับไท่เสวียนก็ปล่อยพลังทำลายล้างพุ่งเข้าใส่ระฆังสำริดที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ขณะที่ประกายแสงสาดส่องอยู่นั้น เสียงสั่นสะเทือนอันน่ากลัวก็ดังตามมา ก่อนที่ระฆังสำริดจะถูกคลื่นพลังซัดออกไปครึ่งจั้ง1

แต่เวลานี้นักพรตฉางเสวียนกลับดีใจมิออก

หากสิ่งนี้เป็นอาวุธเทพจำแลงจริง มิเพียงเขาจะถูกพลังสะท้อนกลับ แม้แต่ตราประทับไท่เสวียนของค่ายกลป้องกันภูผาก็ยังมิอาจสะกดระฆังสำริดได้

เช่นนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่

ไม่ !

พูดให้ถูกก็คือนี่จะนำภัยพิบัติมาสู่ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วย

มิแน่อาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้อาจทำลายศูนย์กลางของค่ายกลป้องกันภูผา และทำลายรากฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนไปด้วย

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง นักพรตฉางเสวียนจะต้องกลายเป็นคนบาปของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นแน่

คิดถึงตรงนี้สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนก็ซีดเผือดลงทันที มือสองข้างถูกกำจนแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เขาส่ายศีรษะไปมา พลางพึมพำว่า “มิมีทาง ต่อให้ข้าต้องตายอยู่ที่นี่ ข้าก็จะมิยอมเป็นคนบาปที่ทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเด็ดขาด”

“เปรี๊ยะ ! ”

“เปรี๊ยะ ! ”

“เปรี๊ยะ ! ”

หลังจากถูกตราประทับไท่เสวียนพุ่งชนหลายต่อหลายครั้ง ระฆังสำริดก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นมิหยุดเช่นกัน

ขณะเดียวกันเสียงที่เกิดขึ้นราวกับกระแทกจิตวิญญาณของนักพรตฉางเสวียนไปด้วย

หลังจากลำแสงอันเจิดจ้านับมิถ้วนพวยพุ่งออกมา แผ่นทองแดงบนระฆังสำริดก็ค่อย ๆ หลุดออก พร้อมกับสัญลักษณ์โบราณมากมายที่หลุดร่วงลงมาราวกับฝนดาวตก

ทันใดนั้นพลังทำลายล้างก็พวยพุ่งออกมาจนปกคลุมไปทั่วบริเวณราวกับเขื่อนแตก

นักพรตฉางเสวียนมองภาพตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง ระฆังสำริดที่มีตำหนิในที่สุดก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาราวกับมรกต

“เป็นอาวุธเทพจำแลงจริง ๆ ด้วย ! ”

1จั้ง หน่วยวัดความยาวของจีน หนึ่งจั้ง เท่ากับสิบฟุต หรือประมาณ 3.3 เมตร

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน