ตอนที่ 64 แค่ยอมแพ้ก็พอ
‘ยอดปรมาจารย์งั้นหรือ ? ’
ในสายตาของสวีฉิงเทียน มิว่าจะเป็นสติปัญญาหรือพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร ถานไถชิง เสวี่ยล้วนอยู่เหนืออินฉางเฟิงทั้งสิ้น
ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นว่าเป็นยอดปรมาจารย์จากถานไถชิง เสวี่ยได้ คนผู้นั้นยอมต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
อีกทั้งหลายวันมานี้เขาพยายามแทบทุกวิถีทาง เพื่อจะได้พบผู้อาวุโสลึกลับที่นักพรตฉางเสวียนพูดถึง
เขาอยากจะรู้นักว่าผู้อาวุโสลึกลับผู้นั้นเป็นคนเช่นไรกันแน่
แต่ถานไถชิง เสวี่ยกลับได้พบยอดปรมาจารย์ท่านหนึ่งในเขตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
เช่นนั้นหรือว่าผู้อาวุโสลึกลับที่นักพรตฉางเสวียนพูดถึง จะเป็นคนเดียวกับยอดปรมาจารย์ที่ถานไถชิง เสวี่ยบังเอิญไปพบเข้า ?
สวีฉิงเทียนคิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือล้นว่า “ชิง เสวี่ย เจ้านั่งลงแล้วเล่าให้ข้าฟังสิว่ายอดปรมาจารย์ที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นเป็นคนเช่นไรกัน ? ”
ถานไถชิง เสวี่ยลังเลเล็กน้อย “ท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสท่านนั้นคล้ายว่าเร้นกายอยู่ที่นั่น เช่นนั้นข้าหมายถึง…”
ถานไถชิง เสวี่ยพูดยังมิทันจบประโยค สวีฉิงเทียนก็โบกมือไปมาพลางหัวเราะออกมา “เด็กน้อย ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี เจ้ามิต้องการให้ข้าไปรบกวนปรมาจารย์ท่านนั้นสินะ”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้า…” ถานไถชิง เสวี่ยมีท่าทางอ้ำอึ้ง
“มิต้องกังวล พวกเรานั่งลงคุยกันก่อน เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ข้าย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี การไปรบกวนการบำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโสอาจทำให้ถูกลงโทษเอาได้สินะ”
จากนั้นสวีฉิงเทียนจึงได้นั่งลง ก่อนจะกล่าวกับถานไถชิง เสวี่ยอย่างหยอกล้อ
เมื่อได้ยินคำพูดของสวีฉิงเทียน ถานไถชิง เสวี่ยจึงหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้ ก่อนจะพยักหน้าให้สวีฉิงเทียนพลางย่อตัวลงนั่ง
“เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าเจ้าบังเอิญไปพบยอดปรมาจารย์ท่านนั้นได้เยี่ยงไรกัน ? ”
สวีฉิงเทียนหัวเราะออกมา เวลานี้เขาเหมือนผู้เฒ่าที่ใจดีคนหนึ่ง หาใช่คนที่เป็นเจ้าสำนักเหมือนทุกทีไม่
ถานไถชิง เสวี่ยกระพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ เล่าว่า “ท่านเจ้าสำนัก ความจริงแล้ววันนั้นตอนที่เราเดินทางผ่านดินแดนจิตแห่งหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ศิษย์บังเอิญได้ยินเสียงพิณที่แฝงไว้ด้วยพลังเต๋าแห่งวิถีดนตรี เช่นนั้นศิษย์จึงตัดสินใจไปเสี่ยงดวงเพียงลำพัง สุดท้ายจึงได้พบเข้ากับยอดปรมาจารย์ท่านหนึ่งเข้าเจ้าค่ะ”
เพราะรู้ว่าตบะของสวีฉิงเทียนและเย่ฉางชิงนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว เช่นนั้นถานไถชิง เสวี่ยจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้สวีฉิงเทียน โดยมิได้กังวลว่าสวีฉิงเทียนจะไปทำอะไรที่มิเหมาะสมเข้า
นางเล่าไปเรื่อย ๆ จนถึงยามดึกโดยมิรู้ตัว
“สูด ! ”
หลังถานไถชิง เสวี่ยเล่าจบ สวีฉิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
‘เป็นยอดปรมาจารย์เช่นไรกันแน่’
‘สุนัขสีดำที่เลี้ยงอยู่ที่บ้านเป็นถึงราชาปีศาจที่บำเพ็ญเพียร’
‘บนชุดชามีหินหุนหยวนที่หาได้ยากยิ่งวางอยู่’
‘ภาพอักษรพู่กันและภาพวาดที่เขียนขึ้นส่ง ๆ กลับแฝงไว้ด้วยเจตจำนงแห่งเต๋าที่แท้จริงนับอนันต์’
‘แต่ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ เขากล้าวางอาวุธเทพชิ้นหนึ่งเอาไว้ที่ลานในบ้านเชียวหรือมิธรรมดาเลยจริง ๆ…’
‘เช่นนั้นยอดปรมาจารย์เยี่ยงนี้จะอยู่ขั้นใดกันนะ ? ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
คิดถึงตรงนี้สวีฉิงเทียนก็คิดถึงผู้อาวุโสลึกลับที่นักพรตฉางเสวียนเอ่ยถึงขึ้นมา
มินานเขาก็นำเรื่องของทั้งสองคนมาปะติดปะต่อกัน
‘เพียงแค่ชี้แนะหมากให้แก่นักพรตฉางเสวียน ก็สามารถเอาชนะเทพแห่งหมากอย่างหนานกงเซวียนจีได้’
‘แนะนำผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเพียงเล็กน้อย ก็ก้าวหน้าในวิถีกระบี่อย่างรวดเร็ว ‘
‘หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ศิษย์สายตรงที่สามารถเอาชนะอินฉางเฟิงได้ผู้นั้น ก็คงได้รับการชี้แนะจากยอดปรมาจารย์ท่านนี้เช่นกันสินะ’
สวีฉิงเทียนคิดไปคิดมา จู่ ๆ ก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
“ท่านเจ้าสำนักเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ? ”
เห็นสวีฉิงเทียนขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเคร่งเครียดถึงขีดสุด ถานไถชิง เสวี่ยจึงอดที่จะถามขึ้นมาอย่างสงสัยมิได้
สวีฉิงเทียนได้สติทันทีที่ได้ยินประโยคคำถามเมื่อครู่ ก่อนโบกมือไปมาพร้อมรอยยิ้มแห้ง “ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก คาดมิถึงว่าในโลกนี้จะยังมียอดปรมาจารย์เช่นนี้อยู่ อีกทั้งยังอยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงเพียงนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน