“ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนของนายท่าน หากเจ้ากล้ารบกวนการพักผ่อนของนายท่าน เจ้าจะมิอาจมีชีวิตออกไปจากที่นี่ได้อีก”
จู่ ๆ เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจราวกับเสียงของเทพสวรรค์ก็ดังขึ้น
หลังได้ยินเสียงนั้นหนานกงเสวียนจีก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาทันใด พร้อมกับไอเย็นที่พัดเข้ามา ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจ
ทันใดนั้นจิตใต้สำนึกของเขาก็หลุดออกมาจากโลกอันลึกลับราวกับแดนเซียน และเต็มไปด้วยพลังอันน่ากลัวแห่งนั้น
“สูด ! ”
หนานกงเสวียนจีสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตระหนกหลังจากได้สติ ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ และพบว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว
ท้องนภายามค่ำคืนเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับและพระจันทร์ลอยเด่น ส่วนเขายังคงนั่งอยู่หน้ากระดานหมากล้อมเช่นเคย ทั่วทั้งลานกว้างเงียบสงบราวกับสายธาราที่สงบนิ่ง มีเพียงเสียงแมลงที่ดังขับขานขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง
หนานกงเสวียนจีได้เห็นภาพตรงหน้าแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เมื่อลองคิดดูแล้วในใจพลันเกิดคำถามขึ้นมากมาย โลกลึกลับเมื่อครู่คือที่แห่งใดกันแน่ แล้วเสียงอันน่ากลัวนั่นเป็นคำเตือนจากใครกัน ?
หนานกงเสวียนจีครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก่อนจะคลึงหว่างคิ้ว พลันเหลือบไปเห็นอักษรสองตัวด้านล่างกระดานหมากล้อมเข้าพอดี
‘กลเทพ ! ’
หนานกงเสวียนจีส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มขมขื่นทันทีที่ได้สติ
กระดานหมากกลเทพเป็นถึงอาวุธเทพในตำนาน !
แม้เขาจะนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในวิถีบำเพ็ญเพียรของโลกนี้ แค่เพียงบรรลุอีกหนึ่งขั้นเขาก็จะก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไป ทว่านับตั้งแต่อดีตมา อย่าว่าแต่เหลือบรรลุอีกเพียงขั้นเดียวเลย ถึงจะเหลือเพียงก้าวเดียวก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่มิสามารถก้าวข้ามเส้นบาง ๆ ที่กั้นอยู่ได้
และการที่เขาเดินหมากกับท่านผู้อาวุโสด้วยอาวุธเทพชิ้นนี้ มิต้องพูดถึงเรื่องฝีมือของเขาที่ห่างชั้นจากท่านผู้อาวุโสมากมายเพียงใด เพียงแค่พลังแห่งเต๋าที่แฝงอยู่ในอาวุธเทพชิ้นนี้ เขาก็มิอาจที่จะต้านทานได้แล้ว
เช่นนั้นก็หมายความว่าความแตกฉานในวิถีหมากของเขาเวลานี้ สามารถเดินหมากกับผู้อาวุโสได้สูงสุดเพียงแค่ 10 ตาเท่านั้น
หนานกงเสวียนจีหันกลับไปมองหมากบนกระดานอีกครั้ง ก่อนจะสลักภาพตรงหน้าเอาไว้ในใจ
ก่อนที่ทั้งลานกว้างจะถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยไอพลังชีวิต ราวกับมีสิ่งมีชีวิตโบราณบางอย่างได้ตื่นขึ้น
จู่ ๆ หนานกงเสวียนจีก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และหันไปมอง และแล้วก็ต้องตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อราวกับหิน
เพราะต้นหลิวเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลาน ถูกปกคลุมไว้ด้วยหมอกสีเขียวอันงดงาม กิ่งก้านอันหนาทึบทุกกิ่งราวกับมีชีวิตก็มิปาน
ใบหลิวแต่ละใบเปล่งประกายเปลวไฟสีทองจาง ๆ กิ่งก้านแต่ละกิ่งราวกับสิ่งมีชีวิต มิได้ห้อยย้อยลู่ลมอีกต่อไป ทว่ากลับค่อย ๆ ลอยขึ้นและบิดไปมา เป็นภาพที่งดงามราวกับปาฏิหาริย์
‘นี่มัน…’
ใบหน้าของหนานกงเสวียนจีเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ที่รับรู้ได้ถึงหายนะครั้งใหญ่
‘ดูท่าต้นหลิวปีศาจต้นนี้จะเกรงกลัวผู้อาวุโสท่านนั้น ก่อนหน้านี้จึงจำศีลอยู่นิ่ง ๆ มิมีการเคลื่อนไหวใด ๆ’
‘แต่เวลานี้มิทราบว่าผู้อาวุโสหายไปไหนแล้ว ต้นหลิวจึงได้ตื่นขึ้นมาเช่นนี้ แล้วมันจะทำอะไรกันแน่ ? ’
‘หรือว่าอยากจะกลืนกินข้าเข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
หากดูจากไอพลังแล้ว หนานกงเสวียนจีคิดว่าตนเองหาใช่คู่ต่อสู้ของต้นไม้ปีศาจต้นนี้ไม่ เขาจึงก้าวถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว ทันใดนั้นภายใต้หมอกสีเขียวอันขมุกขมัวก็ปรากฏเงาอันเลือนลางเงาหนึ่งขึ้น
“เจ้ามิต้องกังวล นายท่านเป็นผู้มีเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง มิว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงเช่นเจ้า หรือว่าผู้ที่ยังมิได้เริ่มบำเพ็ญเพียร ขอเพียงแต่มีวาสนาต่างก็ล้วนได้รับโอกาส เช่นนั้นข้ามิทำอะไรเจ้าหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน