หนานกงเสวียนจีออกเดินทางต่อด้วยความรู้สึกเต็มตื้น
เขามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีที่เขาได้รับพลังอันแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ มิน่าเชื่อว่าพลังมหาศาลนี่จะมาจากเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลเช่นนี้
แม้เขาจะแวะที่เมืองแห่งนี้เพียงหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน แต่ความถือดีและความเย่อหยิ่งของเขากลับมลายหายไปจนสิ้น
การที่ยอดปรมาจารย์เช่นนั้นยังวางตัวสุภาพได้ แล้วเขามีสิทธิ์อันใดที่จะถือดีและเย่อหยิ่งได้กัน ?
หนานกงเสวียนจีคิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเอง พลางส่ายศีรษะอีกครั้ง
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่าจิตใจของตน ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
หนานกงเสวียนจีตระหนักได้ดังนั้นก็ชะงักฝีเท้าลงทันที ก่อนจะหมุนตัวไปทางเมืองเสี่ยวฉือพร้อมกับโค้งคำนับ
‘ผู้อาวุโสได้โปรดรักษาตัวด้วย ขอบคุณผู้อาวุโสที่คอยชี้แนะ วันหน้าข้าน้อยจะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกอย่างแน่นอน’
หนานกงเสวียนจีเอ่ยขึ้นอย่างความนอบน้อม
จากนั้นก็ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นพร้อมกับหมุนตัวจากไป
“ฟิ้ว!”
ทันใดนั้นเกิดสายลมพัดมาอย่างแรง จนหนวดเคราและเส้นผมสีขาวโพลน ที่ตัดกับอาภรณ์สีดำต่างปลิวพริ้วไสว
หนานกงเสวียนจีถึงกับขมวดหัวคิ้วมุ่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะรีบเคลื่อนตัวไปข้างหน้าหลายร้อยจั้งอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาหยุดการเคลื่อนไหวลงก็พบว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยอักษรโบราณติดค้างอยู่บนพุ่มไม้สีเหลืองอร่าม
อาจเป็นเพราะน้ำค้าง จึงทำให้ตัวอักษรหลายบรรทัดในนั้นลางเลือนไป
แต่เพียงแค่ตัวอักษรโบราณที่หลงเหลืออยู่ หนานกงเสวียนจีก็รับรู้ได้ถึงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่อันบริสุทธิ์ ที่แฝงเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
‘นี่มัน…’
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงเสวียนจีจึงเดินไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าจะมีเล่ห์กลใดแอบแฝงอยู่
สุดท้ายหลังจากเขากวาดตามองเนื้อหาบนกระดาษคร่าว ๆ แล้ว สีหน้าของเขาก็ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ด้วยสายตาอันกว้างไกลและตบะของตน ทำให้หนานกงเสวียนจีรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเนื้อหาบนกระดาษแผ่นนี้ต้องเป็นสุดยอดเคล็ดวิชา หรือเคล็ดวิชาลับโบราณบางอย่างเป็นแน่
แต่มิรู้ทำไมเขาจึงได้รู้สึกคุ้นตายิ่งนัก
หนานกงเสวียนจีคิดได้ดังนั้นก็ยกมือและใช้นิ้วนวดคลึงหัวคิ้วเพื่อคลายความตึงเครียด ก่อนจะค่อย ๆ นึกย้อนความทรงจำขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม จู่ ๆ ดวงตาทั้งสองข้างของหนานกงเสวียนจีก็เปล่งประกายขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองไปฉาดหนึ่ง ใบหน้าที่แก่ชรากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดี
‘จะต้องมีคนไขเคล็ดวิชาลับที่ถ่ายทอดกันมาได้เป็นแน่ ! ’
‘คาดมิถึงว่าข้าจะได้พบโชคในป่าเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ ! ’
‘หากมีกระดาษแผ่นนี้ ข้าก็จะสามารถไขความลับของเคล็ดวิชานั้นได้ รวมถึงเคล็ดวิชาในส่วนที่เหลือทั้งเล่มอีกด้วย…’
หนานกงเสวียนจีพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มกว้าง
แต่ขณะที่เขายังพึมพำออกมามิทันจบประโยค จู่ ๆ เขาก็เงียบเสียงลง
‘ใช่แล้ว ที่นี่อยู่ใกล้เมืองเสี่ยวฉือที่สุด หรือจะเป็นยอดปรมาจารย์ท่านนั้นที่เป็นคนไขเคล็ดวิชานี้ได้ แล้วได้รู้ว่าเคล็ดวิชานี้มิเหมาะที่เขาจะฝึก จึงได้ทิ้งโดยมิใยดีเช่นนี้ ? ’
‘ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
หนานกงเสวียนจีเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เผยสีหน้าเลื่อมใสขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในแหวนเก็บสมบัติอย่างระมัดระวังแล้ว จึงได้หันไปโค้งคำนับทางเมืองเสี่ยวฉืออีกครั้ง พลางเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า ‘ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยขอสาบานว่าหากข้าน้อยสามารถบรรลุเคล็ดวิชานี้ได้ ข้าน้อยจะเผยแพร่เคล็ดวิชานี้โดยจะมิเห็นแก่ตัวเป็นอันขาด’
‘ถึงเวลานั้นข้าน้อยจะบอกแก่ผู้อื่นว่า ความจริงแล้วเคล็ดวิชานี้มีผู้บรรลุมานานแล้ว’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน