เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 76

สรุปบท ตอนที่ 76 เป็นเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? !: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 76 เป็นเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ! – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายนิยายแปลทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 76 เป็นเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ! จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

หนานกงเสวียนจีออกเดินทางต่อด้วยความรู้สึกเต็มตื้น

เขามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีที่เขาได้รับพลังอันแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ มิน่าเชื่อว่าพลังมหาศาลนี่จะมาจากเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลเช่นนี้

แม้เขาจะแวะที่เมืองแห่งนี้เพียงหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน แต่ความถือดีและความเย่อหยิ่งของเขากลับมลายหายไปจนสิ้น

การที่ยอดปรมาจารย์เช่นนั้นยังวางตัวสุภาพได้ แล้วเขามีสิทธิ์อันใดที่จะถือดีและเย่อหยิ่งได้กัน ?

หนานกงเสวียนจีคิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเอง พลางส่ายศีรษะอีกครั้ง

ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่าจิตใจของตน ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

หนานกงเสวียนจีตระหนักได้ดังนั้นก็ชะงักฝีเท้าลงทันที ก่อนจะหมุนตัวไปทางเมืองเสี่ยวฉือพร้อมกับโค้งคำนับ

‘ผู้อาวุโสได้โปรดรักษาตัวด้วย ขอบคุณผู้อาวุโสที่คอยชี้แนะ วันหน้าข้าน้อยจะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกอย่างแน่นอน’

หนานกงเสวียนจีเอ่ยขึ้นอย่างความนอบน้อม

จากนั้นก็ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นพร้อมกับหมุนตัวจากไป

“ฟิ้ว!”

ทันใดนั้นเกิดสายลมพัดมาอย่างแรง จนหนวดเคราและเส้นผมสีขาวโพลน ที่ตัดกับอาภรณ์สีดำต่างปลิวพริ้วไสว

หนานกงเสวียนจีถึงกับขมวดหัวคิ้วมุ่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะรีบเคลื่อนตัวไปข้างหน้าหลายร้อยจั้งอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาหยุดการเคลื่อนไหวลงก็พบว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยอักษรโบราณติดค้างอยู่บนพุ่มไม้สีเหลืองอร่าม

อาจเป็นเพราะน้ำค้าง จึงทำให้ตัวอักษรหลายบรรทัดในนั้นลางเลือนไป

แต่เพียงแค่ตัวอักษรโบราณที่หลงเหลืออยู่ หนานกงเสวียนจีก็รับรู้ได้ถึงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่อันบริสุทธิ์ ที่แฝงเอาไว้ได้อย่างชัดเจน

‘นี่มัน…’

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงเสวียนจีจึงเดินไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าจะมีเล่ห์กลใดแอบแฝงอยู่

สุดท้ายหลังจากเขากวาดตามองเนื้อหาบนกระดาษคร่าว ๆ แล้ว สีหน้าของเขาก็ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ด้วยสายตาอันกว้างไกลและตบะของตน ทำให้หนานกงเสวียนจีรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเนื้อหาบนกระดาษแผ่นนี้ต้องเป็นสุดยอดเคล็ดวิชา หรือเคล็ดวิชาลับโบราณบางอย่างเป็นแน่

แต่มิรู้ทำไมเขาจึงได้รู้สึกคุ้นตายิ่งนัก

หนานกงเสวียนจีคิดได้ดังนั้นก็ยกมือและใช้นิ้วนวดคลึงหัวคิ้วเพื่อคลายความตึงเครียด ก่อนจะค่อย ๆ นึกย้อนความทรงจำขึ้นมาอีกครั้ง

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม จู่ ๆ ดวงตาทั้งสองข้างของหนานกงเสวียนจีก็เปล่งประกายขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองไปฉาดหนึ่ง ใบหน้าที่แก่ชรากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดี

‘จะต้องมีคนไขเคล็ดวิชาลับที่ถ่ายทอดกันมาได้เป็นแน่ ! ’

‘คาดมิถึงว่าข้าจะได้พบโชคในป่าเขาที่ห่างไกลเช่นนี้ ! ’

‘หากมีกระดาษแผ่นนี้ ข้าก็จะสามารถไขความลับของเคล็ดวิชานั้นได้ รวมถึงเคล็ดวิชาในส่วนที่เหลือทั้งเล่มอีกด้วย…’

หนานกงเสวียนจีพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มกว้าง

แต่ขณะที่เขายังพึมพำออกมามิทันจบประโยค จู่ ๆ เขาก็เงียบเสียงลง

‘ใช่แล้ว ที่นี่อยู่ใกล้เมืองเสี่ยวฉือที่สุด หรือจะเป็นยอดปรมาจารย์ท่านนั้นที่เป็นคนไขเคล็ดวิชานี้ได้ แล้วได้รู้ว่าเคล็ดวิชานี้มิเหมาะที่เขาจะฝึก จึงได้ทิ้งโดยมิใยดีเช่นนี้ ? ’

‘ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’

หนานกงเสวียนจีเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เผยสีหน้าเลื่อมใสขึ้นมาอีกครั้ง

หลังจากเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในแหวนเก็บสมบัติอย่างระมัดระวังแล้ว จึงได้หันไปโค้งคำนับทางเมืองเสี่ยวฉืออีกครั้ง พลางเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า ‘ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยขอสาบานว่าหากข้าน้อยสามารถบรรลุเคล็ดวิชานี้ได้ ข้าน้อยจะเผยแพร่เคล็ดวิชานี้โดยจะมิเห็นแก่ตัวเป็นอันขาด’

‘ถึงเวลานั้นข้าน้อยจะบอกแก่ผู้อื่นว่า ความจริงแล้วเคล็ดวิชานี้มีผู้บรรลุมานานแล้ว’

“ใช่แล้ว หรือว่าหลี่ฉางหมิงจะเป็นลูกที่เจ้าสำนักไท่เสวียนซุกเอาไว้ ? ”

“เป็นไปได้ ข้าว่าบางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ สตรีที่เก่งกาจเช่นลู่อู๋ซวงจึงถูกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกดเอาไว้”

“คาดมิถึงว่าเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะเป็นคนเช่นนี้”

“……”

มินานข่าวลือนี้ก็ถึงหูเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

วันนี้ศิษย์ของทั้งสองสำนักยังคงประลองฝีมือกันอยู่ ขณะเดียวกันบนแท่นนั่งชมก็ยังคงเต็มไปด้วยผู้อาวุโสจากทั้งสองสำนัก

ส่วนนักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนก็นั่งอยู่ข้างกัน

แต่ดูเหมือนว่าเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจะไปได้ยินข่าวลือบางอย่างมา จึงทำให้สายตาที่พวกเขามองนักพรตฉางเสวียนนั้นเปลี่ยนไป แม้แต่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงอย่างสวีฉิงเทียนเอง ก็ยังคงเหลือบมองนักพรตฉางเสวียนเป็นระยะเช่นกัน

“พี่เหอ มิทราบว่าท่านจะพาข้าไปพบผู้อาวุโสท่านนั้น ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเมื่อใดหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนจ้องไปที่บนเวทีประลองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันไปเอ่ยถามนักพรตฉางเสวียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

นักพรตฉางเสวียนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ปรายหางตามองสวีฉิงเทียนก่อนตอบว่า “พี่สวี ท่านอย่าได้ใจร้อนไป ให้เวลาข้าไตร่ตรองสักหน่อย เพราะการพบผู้อาวุโสเย่นั้นข้าต้องแบกรับความเสี่ยงมากทีเดียว”

สวีฉิงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งพลางเอ่ยออกมาว่า “พี่เหอ ขอบอกตามตรง หากข้าเดามิผิด จะมีคนผู้หนึ่งมาหาท่าน เหตุผลก็เพราะท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้”

“เขาเป็นใครกัน ? ”

นักพรตฉางเสวียนหันไปถามสวีฉิงเทียนด้วยความสงสัย

สวีฉิงเทียนจึงสารภาพกับนักพรตฉางเสวียนไปตามตรงว่า “เทพแห่งหมากคนปัจจุบัน หนานกงเสวียนจี”

“เป็นเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ! ” สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนเปลี่ยนไปในพริบตา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน