สิ้นเสียงนั้น บนแท่นนั่งชมพลันเกิดลำแสงมากมายทะยานสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
การเห็นเหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักเหาะไปทางเชิงเขาไท่เสวียน ย่อมทำให้ศิษย์ของทั้งสองสำนักรู้สึกร้อนใจจนอยู่มิสุข
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ”
“ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักไปที่เชิงเขากันหมด หรือว่ามียอดฝีมือต้องการจะบุกเข้ามา ? ”
“หรือมีศัตรูที่ไหนบุกมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”
“เพราะทั้งสองสำนักเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตลอด อีกทั้งเวลานี้ยังอยู่ในช่วงงานประลอง ผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจึงมิอาจนิ่งดูดายได้อยู่แล้ว”
“ใช่แล้ว ! ”
“อาจเป็นเช่นนี้ก็ได้ ! ”
“มิใช่ ! ”
“ต้องบอกว่าเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอนต่างหาก ! ”
“แล้วจะมามัวประลองอะไรกันอยู่ตรงนี้เล่า ศัตรูมาถึงหน้าประตูถึงเวลาต้องร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว ! ”
หลังจากศิษย์ของทั้งสองสำนักปรึกษากันแล้ว ต่างก็พากันกระโดดลงจากเวทีประลอง
ต่างคนต่างหยิบอาวุธของตน รอบกายพลันเปล่งแสงออกมา ก่อนจะเหาะลงทางเชิงเขาตาม ๆ กันไป
……………………………..
เขาไท่เสวียน ณ ลานโล่งบริเวณเชิงเขา
มินาน เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักต่างก็เหาะลงบนพื้นดิน
มิไกลกันนั้น เป็นหนานกงเสวียนจีที่อยู่ในชุดดำกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่
สายลมที่พัดผ่านทำให้ผมสีขาวโพลนและชุดคลุมสีดำพลิ้วไหว ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นอีกหลายเท่า
เมื่อสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง หนานกงเสวียนจีผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งแห่งยุค กลับมิได้แสดงท่าทางหยิ่งทะนงและเบ่งอำนาจออกมาแต่อย่างใด เขาเพียงแค่หมุนตัวกลับมามองทุกคน
มิเพียงเท่านั้นใบหน้าซูบผอมของเขายังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ดวงตายิบหยี ให้ความรู้สึกราวกับผู้อาวุโสที่สนิทชิดเชื้อกันก็มิปาน
เมื่อเห็นภาพนั้น ทั้งนักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียน รวมทั้งผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักที่อยู่ด้านหลัง ต่างก็สบตากันด้วยความงุนงงทันที
‘ผู้อาวุโสท่านนี้คือเทพแห่งหมากคนปัจจุบัน หนานกงเสวียนจี จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกไป ! ’
‘เหตุใดจึงดูมิเย่อหยิ่งวางอำนาจเช่นผู้แข็งแกร่งทั่วไปแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูเหมือนผู้เฒ่าที่ใจดีคนหนึ่งเสียมากกว่า’
‘หรือว่าผู้อาวุโสหนานกงจะฝึกฝนหมากอย่างหนัก จนการแสดงออกจึงเหมือนเช่นคนธรรมดามิได้วางท่าใด ๆ อีก’
‘ใช่ ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’
‘เหมือนกับท่านบรรพจารย์เย่ที่มีตบะแก่กล้า แต่กลับมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน’
‘อย่างไรก็ตาม ลักษณะท่าทางของผู้อาวุโสหนานกง ยังต่างจากท่านบรรพจารย์เย่มากทีเดียว’
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนที่เคยได้พบเย่ฉางชิงมาแล้ว จึงสามารถเข้าใจได้
แต่คนอื่น ๆ กลับมิได้คิดเช่นนั้น และยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไป
โดยเฉพาะสวีฉิงเทียนที่ถึงกับขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเหลือบมองหนานกงเสวียนจี รู้สึกราวกับภาพตรงหน้าเป็นภาพมายาก็มิปาน
หลายร้อยปีก่อนเขาโชคดีได้พบกับหนานกงเสวียนจี ตอนนั้นเขาต้องขอร้องอยู่หลายครั้งหลายหน หนานกงเสวียนจีจึงได้ยอมถ่ายทอดกลหมากที่ตนเองภาคภูมิใจอย่างกลสี่มังกรพ่นวารีให้แก่เขา
อีกทั้งหนานกงเสวียนจีในตอนนั้น หาได้ดูเป็นกันเองเช่นนี้ไม่
ปกติแล้วเขามักจะมีท่าทีเย็นชา ดวงตาคมกล้าดุจกระบี่ อีกทั้งยังมีตบะแก่กล้าสุดจะหยั่ง
นอกจากนี้ ที่นามของหนานกงเสวียนจีกลายเป็นที่เลื่องชื่อ ก็มาจากการที่เขาได้ไปต่อสู้กับเหล่าปีศาจที่เทือกเขาแดนใต้ และเผ่ามารที่แดนรกร้างทางเหนือมา
ในตอนนั้น เพื่อเรียนรู้กลหมากสี่มังกรพ่นวารี ทำให้เขาได้รับแรงกดดันอย่างมากเป็นเวลาหลายปี
จนหลายครั้งเขาเองยังอดสงสัยมิได้ว่าตนนั้นเป็นพวกชอบถูกทารุณหรือเยี่ยงไร
อยู่ดี ๆ เหตุใดจึงต้องไปอดทนเรียนหมากจากผู้แข็งแกร่งที่มีตบะแก่กล้าสุดจะหยั่ง และนิสัยเสียเช่นนี้ด้วย !
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาก็ครุ่นคิดอยู่ในใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน