เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 78

สิ้นเสียงนั้น บนแท่นนั่งชมพลันเกิดลำแสงมากมายทะยานสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง

การเห็นเหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักเหาะไปทางเชิงเขาไท่เสวียน ย่อมทำให้ศิษย์ของทั้งสองสำนักรู้สึกร้อนใจจนอยู่มิสุข

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ”

“ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักไปที่เชิงเขากันหมด หรือว่ามียอดฝีมือต้องการจะบุกเข้ามา ? ”

“หรือมีศัตรูที่ไหนบุกมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน”

“เพราะทั้งสองสำนักเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตลอด อีกทั้งเวลานี้ยังอยู่ในช่วงงานประลอง ผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจึงมิอาจนิ่งดูดายได้อยู่แล้ว”

“ใช่แล้ว ! ”

“อาจเป็นเช่นนี้ก็ได้ ! ”

“มิใช่ ! ”

“ต้องบอกว่าเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอนต่างหาก ! ”

“แล้วจะมามัวประลองอะไรกันอยู่ตรงนี้เล่า ศัตรูมาถึงหน้าประตูถึงเวลาต้องร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว ! ”

หลังจากศิษย์ของทั้งสองสำนักปรึกษากันแล้ว ต่างก็พากันกระโดดลงจากเวทีประลอง

ต่างคนต่างหยิบอาวุธของตน รอบกายพลันเปล่งแสงออกมา ก่อนจะเหาะลงทางเชิงเขาตาม ๆ กันไป

……………………………..

เขาไท่เสวียน ณ ลานโล่งบริเวณเชิงเขา

มินาน เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักต่างก็เหาะลงบนพื้นดิน

มิไกลกันนั้น เป็นหนานกงเสวียนจีที่อยู่ในชุดดำกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่

สายลมที่พัดผ่านทำให้ผมสีขาวโพลนและชุดคลุมสีดำพลิ้วไหว ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นอีกหลายเท่า

เมื่อสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง หนานกงเสวียนจีผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งแห่งยุค กลับมิได้แสดงท่าทางหยิ่งทะนงและเบ่งอำนาจออกมาแต่อย่างใด เขาเพียงแค่หมุนตัวกลับมามองทุกคน

มิเพียงเท่านั้นใบหน้าซูบผอมของเขายังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ดวงตายิบหยี ให้ความรู้สึกราวกับผู้อาวุโสที่สนิทชิดเชื้อกันก็มิปาน

เมื่อเห็นภาพนั้น ทั้งนักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียน รวมทั้งผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักที่อยู่ด้านหลัง ต่างก็สบตากันด้วยความงุนงงทันที

‘ผู้อาวุโสท่านนี้คือเทพแห่งหมากคนปัจจุบัน หนานกงเสวียนจี จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกไป ! ’

‘เหตุใดจึงดูมิเย่อหยิ่งวางอำนาจเช่นผู้แข็งแกร่งทั่วไปแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูเหมือนผู้เฒ่าที่ใจดีคนหนึ่งเสียมากกว่า’

‘หรือว่าผู้อาวุโสหนานกงจะฝึกฝนหมากอย่างหนัก จนการแสดงออกจึงเหมือนเช่นคนธรรมดามิได้วางท่าใด ๆ อีก’

‘ใช่ ! ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’

‘เหมือนกับท่านบรรพจารย์เย่ที่มีตบะแก่กล้า แต่กลับมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน’

‘อย่างไรก็ตาม ลักษณะท่าทางของผู้อาวุโสหนานกง ยังต่างจากท่านบรรพจารย์เย่มากทีเดียว’

คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนที่เคยได้พบเย่ฉางชิงมาแล้ว จึงสามารถเข้าใจได้

แต่คนอื่น ๆ กลับมิได้คิดเช่นนั้น และยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไป

โดยเฉพาะสวีฉิงเทียนที่ถึงกับขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเหลือบมองหนานกงเสวียนจี รู้สึกราวกับภาพตรงหน้าเป็นภาพมายาก็มิปาน

หลายร้อยปีก่อนเขาโชคดีได้พบกับหนานกงเสวียนจี ตอนนั้นเขาต้องขอร้องอยู่หลายครั้งหลายหน หนานกงเสวียนจีจึงได้ยอมถ่ายทอดกลหมากที่ตนเองภาคภูมิใจอย่างกลสี่มังกรพ่นวารีให้แก่เขา

อีกทั้งหนานกงเสวียนจีในตอนนั้น หาได้ดูเป็นกันเองเช่นนี้ไม่

ปกติแล้วเขามักจะมีท่าทีเย็นชา ดวงตาคมกล้าดุจกระบี่ อีกทั้งยังมีตบะแก่กล้าสุดจะหยั่ง

นอกจากนี้ ที่นามของหนานกงเสวียนจีกลายเป็นที่เลื่องชื่อ ก็มาจากการที่เขาได้ไปต่อสู้กับเหล่าปีศาจที่เทือกเขาแดนใต้ และเผ่ามารที่แดนรกร้างทางเหนือมา

ในตอนนั้น เพื่อเรียนรู้กลหมากสี่มังกรพ่นวารี ทำให้เขาได้รับแรงกดดันอย่างมากเป็นเวลาหลายปี

จนหลายครั้งเขาเองยังอดสงสัยมิได้ว่าตนนั้นเป็นพวกชอบถูกทารุณหรือเยี่ยงไร

อยู่ดี ๆ เหตุใดจึงต้องไปอดทนเรียนหมากจากผู้แข็งแกร่งที่มีตบะแก่กล้าสุดจะหยั่ง และนิสัยเสียเช่นนี้ด้วย !

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาก็ครุ่นคิดอยู่ในใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

‘เหตุใดวันนี้หนานกงเสวียนจีจึงมีท่าทีที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มดูสนิมสนมนั่น ? ’

‘หรือว่าค้นพบมโนธรรม ? ’

‘มิใช่ ! ’

‘หรือว่าเลิกทรนงตน ? ’

‘ยิ่งเป็นไปมิได้ ! ’

‘หรือว่าคนเขียนจะเปลี่ยนบท ? ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ๆ ! ’

ตอนนั้นเองเสียงของนักพรตฉางเสวียนก็ดังขึ้น “ผู้น้อยเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เหอฉางเสวียน คารวะผู้อาวุโสหนานกง”

นักพรตฉางเสวียนเดินไปยังด้านหน้าของหนานกงเสวียนจี ก่อนจะโค้งคำนับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม

หนานกงเสวียนจีพยักหน้ายิ้ม ๆ พลางคารวะตอบ “เจ้าสำนักไท่เสวียนเกรงใจกันเกินไปแล้ว”

“พวกข้าน้อยคารวะผู้อาวุโสหนานกง”

เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของนักพรตฉางเสวียน ลอบสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน

หนานกงเสวียนจีส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้านั้นอุทิศชีวิตเพื่อการบำเพ็ญเพียร ต่อไปพิธีรีตองเหล่านี้ก็เว้นไปเถิด มิเช่นนั้นอาจจะส่งผลต่อการฝึกจิตของข้าได้”

ฟังจบ เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักก็ตกตะลึงงัน ก่อนจะมีสีหน้าละอายใจพลางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

หากมิใช่เทพแห่งหมากอันเลื่องชื่อ เกรงว่าคงมิอาจมีจิตใจที่กว้างขวางเช่นได้เป็นแน่!

“เหตุผลนี้ถูกต้องยิ่งนัก ต้องจดเอาไว้ ! ”

ผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงพอได้สติ จึงรีบหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ ก่อนจะบันทึกไปพลางพึมพำกับตัวเองไปพลาง

แม้จะเห็นภาพนี้ แต่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็มิได้ดูถูกแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังทำสีหน้าละอายใจเล็กน้อย

ส่วนผู้อาวุโสท่านอื่นที่มิได้จดบันทึก ก็เลือกที่จะท่องจำจนขึ้นใจแทน

นักพรตฉางเสวียนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ดูท่าผู้อาวุโสหนานกงคงบรรลุขั้นต่อไปแล้ว”

“เฮ้อ พูดแล้วก็ละอายใจนัก”

หนานกงเสวียนจีถอดถอนใจ ก่อนจะโบกมือไปมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มิกี่วันก่อนหน้าข้าโชคดีได้พบยอดฝีมือท่านหนึ่ง ผู้อาวุโสท่านนั้นมิเพียงแต่ทำให้ข้าได้โชคครั้งใหญ่ แต่ยังทำให้จิตใจของข้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วย”

นักพรตฉางเสวียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

‘ยอดฝีมือที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้แข็งแกร่งเช่นหนานกงเสวียนจีได้ ต้องเป็นคนที่เก่งกาจเพียงใดกัน’

‘น่าเหลือเชื่อ ! ’

‘ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’

‘คาดมิถึงว่าในจงหยวนจะมียอดฝีมือเช่นนี้หลบซ่อนอยู่ด้วย’

‘เกรงว่าคงมีเพียงท่านบรรพจารย์เย่เท่านั้นกระมัง ที่สามารถเทียบเคียงได้ ! ’

ทันใดนั้นหนานกงเสวียนจีก็หันไปมองสวีฉิงเทียนที่มีสีหน้าสับสน พลางยกมือขึ้นลูบหนวดของตน “เจ้าสำนักจื่อชิงมิพบกันเสียนานนะ ! ”

สวีฉิงเทียนที่ได้ยินคำถามนั้นก็รู้สึกราวกับมีอสนีบาตฟาดลงมา โสตประสาทมีเสียงวิ้งดังกึกก้องไปหมด ก่อนจะรีบโค้งคำนับ

“ผู้น้อยสวีฉิงเทียนคารวะผู้อาวุโสหนานกง ก่อนหน้านี้ผู้น้อยเสียมารยาทไป ขอผู้อาวุโสหนานกงได้โปรดอภัยให้ด้วย”

สวีฉิงเทียนรีบเอ่ยขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน

หนานกงเสวียนจีหัวเราะเบา ๆ พร้อมถามอย่างหยอกล้อว่า “เจ้าสำนักจื่อชิง ข้าน่ากลัวเช่นนั้นเลยหรือ ? ”

เอ่ยจบ หนานกงเสวียนจีจึงกวาดตามองทุกคนด้วยแววตาสงบนิ่ง

สวีฉิงเทียนรีบปาดเหงื่อของตน ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มแห้ง “ช่วงนี้ข้ามิค่อยสบาย ขอผู้อาวุโสหนานกงโปรดอย่าได้ถือสาเลยนะขอรับ”

หนานกงเสวียนจีถอนใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะเอ่ยถามตรง ๆ ว่า “จริงสิ วันนั้นคนที่ดวลหมากกับข้า เกรงว่าคงมิใช่เจ้าสำนักไท่เสวียนกระมัง ? ”

“สูด ! ”

คำถามของหนานกงเสวียนจี ทำให้สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสองสำนักเปลี่ยนไปในพริบตา ก่อนจะพากันสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่

“ฆ่ามัน ! ”

แต่ในขณะที่ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น

พลันเกิดเสียงโห่ร้องดังขึ้นราวอสนีบาต ทันใดนั้นไอสังหารก็ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน