เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน นิยาย บท 94

ตอนที่ 94 ข้าคือผู้พิทักษ์ราตรีแห่งแดนใต้

ต้องบอกว่าในวินาทีที่สัมผัสได้ถึงไอปีศาจและไอแห่งความชั่วร้ายมหาศาลจากระยะไกลนั้น

ชายชรานามว่า หวงฉีเสวียน ที่เฝ้าแดนใต้มาเกือบเจ็ดร้อยปี รู้สึกเหนื่อยใจยิ่งนัก

ปีนั้น ก่อนที่เขาจะลาจากสำนัก เพื่อมาเป็นผู้พิทักษ์ราตรีที่นี่

ก็มีศิษย์พี่ท่านหนึ่งได้เข้ามาตบบ่าของเขา พร้อมกับพูดเอาไว้เสียดิบดีว่า “ศิษย์น้องฉีเสวียน แม้ปราณวิญญาณฟ้าดินของแดนใต้จะเหือดแห้ง แต่เพราะศึกคราใหญ่ระหว่างสองเผ่าในสมัยโบราณกาล จึงทำให้ที่นี่มีวาสนาหลงเหลือมากมาย”

“บัดนี้โลกสงบสุข ปีศาจเผ่าต่าง ๆ ในเทือกเขาแดนใต้และมนุษย์ได้ทำข้อตกลงกันว่าทั้งสองฝ่ายจะมิก้าวล้ำเขตแดนของกันและกัน และแดนใต้ก็หาได้มีเรื่องราววุ่นวายใด ๆ เจ้าแค่บำเพ็ญเพียรอย่างสงบอยู่ที่นั่นก็พอ”

หวงฉีเสวียนคิดถึงตรงนี้ก็เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกอยากจะสบถคำหยาบออกมาจริง ๆ

ถูกต้องที่สมัยโบราณกาลทั้งสองเผ่าได้ทำศึกใหญ่ที่นี่ นั่นจึงทำให้ที่นี่มีวาสนามากมาย

ทว่าแม้วาสนาจะเผยออกมา แต่กลับมาพร้อมจิตสังหารอันรุนแรงด้วย

เมื่อร้อยปีก่อนจู่ ๆ ก็มีไอพลังสีแดงเพลิงทะยานขึ้นสู่ฟ้า หลังจากที่เขาสัมผัสถึงมันก็รีบพุ่งตัวไปทันที

แต่สุดท้ายกลับตกลงไปในค่ายกลสังหารยุคบรรพกาลค่ายกลหนึ่ง อันตรายเกือบตายกว่าจะหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้

จนถึงวันนี้ภายในร่างกายของเขาก็ยังคงหลงเหลือไอพลังชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในค่ายกลนั้นอยู่

และเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงมิต้องการสู้กับถูซื่อ

อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจากการถูกพลังครอบงำ ส่วนกายของเขาก็มีไอชั่วร้ายจากค่ายกลหลงเหลืออยู่เช่นกัน

และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือพื้นฐานของทั้งคู่นั้นต่างกันอย่างมาก

ฝ่ายหนึ่งตบะบารมีอยู่จุดสูงสุดของระดับจ้าวปีศาจ ส่วนอีกฝ่ายมีตบะบารมีที่ยังอยู่เพียงช่วงต้นของระดับถ้ำสวรรค์เท่านั้น ความแตกต่างของทั้งคู่มิต้องบอกก็รู้

อีกอย่างการบำเพ็ญเพียรอย่างสงบ ตามที่ศิษย์พี่ท่านนั้นกล่าวไว้นั้น…

ศึกนั้นในสมัยโบราณกาลทำให้ทุกสิ่งที่นี่ถูกทำลายไปจนสิ้น ปราณวิญญาณฟ้าดินเกือบจะเหือดแห้ง

และทุกคราที่ราตรีมาเยือน ที่นี่จะเกิดลมพายุโหมกระหน่ำเกิดเสียงดังมิหยุดหย่อน ทั้งยังมีเสียงประหลาดดังขึ้นเป็นระยะอีกด้วย

สภาพแวดล้อมเช่นนี้จะบำเพ็ญเพียรได้เยี่ยงไร ยิ่งบำเพ็ญเพียรอย่างสงบยิ่งมิต้องพูดถึงเลย

มาบัดนี้ที่บอกเอาไว้ว่าเทือกเขาแดนใต้และจงหยวนจะมิก้าวล้ำเขตแดนของกันและกัน

สุดท้ายเมื่อครู่ก็พึ่งจะเจรจากับผู้แข็งแกร่งที่อยู่จุดสูงสุดระดับจ้าวปีศาจเสร็จ

เพียงมิกี่อึดใจก็มีจ้าวปีศาจอีกตนโผล่มาอีกแล้ว

อีกทั้งจ้าวปีศาจตนนี้ดูจากไอปีศาจและไอแห่งความชั่วร้ายมหาศาลแล้ว คงจะเจรจามิได้ง่าย ๆ เช่นจ้าวปีศาจก่อนหน้านี้เป็นแน่

หวงฉีเสวียนคิดถึงตรงนี้ก็ได้แต่ทอดถอนใจ ‘โบราณว่าไว้เรื่องดีมิมาคู่ เรื่องร้ายมิมาเดี่ยว ช่างเป็นจริงโดยแท้’

เพียงมินาน เฮยฉางหลิงที่ทั่วร่างถูกปกคลุมไว้ด้วยไอสีดำเข้มข้น ทั้งยังแผ่ไอปีศาจและไอสังหารอันน่ากลัวก็ได้เหาะมาถึง

“ช้าก่อน”

หวงฉีเสวียนขมวดคิ้วมุ่นพร้อมเอ่ยขวางเอาไว้ “เทือกเขาแดนใต้และจงหยวนมีข้อตกลงตั้งแต่สมัยบรรพกาล ต่างฝ่ายจะมิก้าวล้ำดินแดนของกันและกัน เช่นนั้นเชิญกลับไปเถอะ”

เฮยฉางหลิงหยุดการเคลื่อนไหวลง และอยู่ห่างจากหวงฉีเสวียนเพียงยี่สิบกว่าจั้ง

“สมบัติชิ้นหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ดำข้าถูกคนขโมยมา ข้าต้องเข้าไปในจงหยวนเพื่อตามหามันกลับมา เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของเผ่าพยัคฆ์ดำของข้า หวังว่าท่านจะมิขัดขวาง”

เฮยฉางหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว และวางท่าแสดงอำนาจบาตรใหญ่

แต่เขาก็มิได้ลงมือเพื่อดันทุรังก้าวข้ามเขตแดนของสองดินแดนในทันทีทันใด

เยี่ยงไรเสีย เขาก็ยังมิใช่ราชันของเทือกเขาแดนใต้ และมิอาจควบคุมทุกเผ่าที่อยู่ในเทือกเขาแดนใต้ ให้มาบุกโจมตีจงหยวนได้

อีกทั้งกล่าวกันว่าผู้แข็งแกร่งในจงหยวนนั้นมีมากมาย

แม้เขาจะมั่นใจว่าตบะบารมีของเขาในตอนนี้ รวมทั้งเคล็ดวิชามากมายที่เขามี ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้แข็งแกร่งมากมาย ก็จะสามารถเอาตัวรอดกลับเทือกเขาแดนใต้ได้อย่างแน่นอน

แต่เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจ อีกทั้งยังเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพยัคฆ์ดำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน