เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง นิยาย บท 34

เดิมทีเซวียหลิงยังไม่อยากไป เธอจึงได้พึมพำขึ้นมาว่า "ฉันเคยร้องเพลงเก็บหัวไชเท้า แต่ยังไม่เคยมีโอกาสเก็บเองจริงๆ สักที"

เฉิงเทียนหยวนมองไปด้วยแววตาอ่อนโยนแต่ปากของเขากลับปฏิเสธขึ้นว่า

"กลับบ้านทานข้าวก่อนครับ แล้วค่อยว่ากัน"

หลิวอิงจับเก็บใบเน่าของกะหล่ำปลีทิ้งไปแล้วพูดว่า "พวกเราสองคนนั่งรถมาตั้งแต่เช้าตรู่คงจะหิวแล้วแน่ๆ เรากลับไปกินข้าวกันก่อนเถอะ"

เฉิงเทียนหยวนหรี่ตามองไปทางบ้านของตน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันต่ำทุ้มว่า "แม่ครับ อาฟางยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ?"

"ยัง"หลิวอิงพูดถึงลูกสาวคนเล็กของเธอแล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา "แม่หนูคนนี้ นั่งเฉยๆ ไม่เป็น......"

เฉิงเทียนหยวนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามว่า "ตอนนี้น้องยังทำงานฝึกงานอยู่ในสหกรณ์ร้านค้าอยู่หรือเปล่า?"

"เอ่อ......" หลิวอิงอธิบายขึ้นว่า "ดูเหมือนเธอจะไปทำงานได้อยู่ไม่กี่วันก็หาเรื่องงอแงบอกว่าไม่ไปแล้ว ต่อมาก็ไม่รู้เป็นอะไรจู่ๆ ก็กลับไปอีก ประธานสหกรณ์ร้านค้าตำหนิเธอยกใหญ่ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็รับเธอเอาไว้ แต่แม่รู้สึกว่าหัวใจเธอค่อนข้างจะล่องลอย คงทำได้ไม่นานหรอก"

ลูกสาวคนนี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนตั้งแต่ยังเล็ก สองสามีภรรยาปวดหัวกับเธอมาก พยายามเกลี้ยกล่อมหลายต่อหลายคราแต่ก็ดูไร้ผล

เฉิงเทียนหยวนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเยือกเย็นออกมา "ท่าทางอันขี้เกียจของเธอ คงไม่ยอมเรียนแล้วแน่นอน และก็ไม่ยอมทำงานด้วยจะมีอนาคตได้ยังไง ทางสหกรณ์ร้านค้านั้นงานก็แค่ขายของ เธอยังทำไม่ได้ซึ่งมันนับว่าง่ายและสบายมาก ถ้าอันนี้เธอยังรับไม่ไหวแล้วต่อไปเธอจะทำอะไรได้"

หลิวอิงถอนหายใจแล้วพูดออกมาเบาๆ "ช่วงนี้ดูเหมือนเธอจะไปทำงานทุกวัน หวังว่าจะใช้โอกาสเหล่านี้ในการปรับปรุงตัวได้ เอาเถอะวันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่สหกรณ์ร้านค้า คาดว่าคงจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนสักแห่งแล้วมั๊ง"

เธอหยุดชะงักลงเล็กน้อยดูเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ

เฉิงเทียนหยวน เข้าใจนิสัยของแม่ตนเองดี ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าเจ้าน้องสาวคนนี้ไปก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกแล้วอย่างแน่นอน

"แม่ครับ มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเถอะ คำพูดของแม่เธอไม่ค่อยฟัง แต่ว่าคำพูดของผมเธอยังฟังอยู่บ้าง"

หลิวอิงกลืนน้ำลายลงคอแล้วเข้าไปกระซิบที่ข้างหูลูกชายว่า

"ดูเหมือนช่วงนี้เธอจะแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งที่มาจากในอำเภอ......แม่ได้ยินป้าเพียวที่อยู่ท้ายหมู่บ้านพูดขึ้น ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เมื่อสองวันก่อนแม่ได้ตำหนิเธอไปแล้ว เธอก็เอาแต่พูดว่าไม่ต้องไปสนใจเธอ และก็วิ่งออกไปอีกตามเคย"

เฉิงเทียนหยวนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน

"ต่อให้ข้ามปีนี้ไปเธอก็อายุเพียงแค่สิบหกปี จะรีบร้อนไปทำไม ผู้ชายที่มาจากอำเภอเป็นใครกันแม่รู้จักไหม?"

คนในหมู่บ้านพากันกระซิบกระซาบ อีกทั้งเรื่องนี้ยังมาถึงหูของแม่ตน คาดว่าเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริง

ใบหน้าอันเรียบง่ายและตรงไปตรงมาของหลิวอิง ส่ายไปมา เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า "แม่บอกกับเธอแล้วแต่เธอไม่ฟังป้าเพียวบอกว่า เธอรู้สึกชื่นชอบผู้ชายคนนั้นมาก ผ่านไปสองสามวันก็จะมอบของให้เขา อีกทั้งเป็นของดีๆ แม่ตั้งใจว่าจะไปลองถามที่สหกรณ์ร้านค้าดู แต่ก็กลัวว่าแม่หนูนั่นจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แม่......แม่เองก็ลำบากใจมาก"

เฉิงเทียนหยวนครุ่นคิดแล้วพูดว่า "แม่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เดี๋ยวอีกสักพักผมจะไปถามเอง ผมจะไปลองถามดู"

น้องสาวของเขายังอายุน้อยมาก หากว่าไปข้องเกี่ยวกับพวกคนที่ไม่ดีเข้าละก็ คนที่จะสูญเสียก็คงเป็นตัวเธอเอง ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นน้องของเขา จะไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ยังไงกัน

หลิวอิงรู้ดีว่าลูกชายของตนคงจะมีวิธีจัดการอยู่ ดังนั้นจึงได้เผยรอยยิ้มออกมา

"อืม ถ้าอย่างนั้นฝากลูกถามให้ละเอียดด้วยนะ"

เฉิงเทียนหยวนหันหลังกลับไปเห็นว่าเซวียหลิงกำลังช่วยเก็บหัวไชเท้าอยู่ มืออันขาวผ่องของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยดิน อีกทั้งตอนที่เธอเช็ดเหงื่อยังไม่ทันระวังก็ทำให้ศีรษะหน้าผากเต็มไปด้วยดิน เขาได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความรักใคร่เอ็นดู

"ตอนบ่ายๆ ค่อยมาทำต่อนะครับ กลับบ้านกินข้าวกันเถอะ"

เมื่อพูดจบ เขาก็ได้หยิบตะกร้าสองใบที่ใส่ของไว้จนเต็มแล้วสะพายขึ้นที่หลัง ตรงไปทางบ้าน

หลิวอิงก็แบกตะกร้าสะพายขึ้นที่หลังแล้วเดินตามลูกชายไป

เซวียหลิงอุ้มหัวไชเท้าหัวใหญ่ไว้ในมือ ก่อนจะเดินตามทั้งสองคนไปด้วยท่าทางดีอกดีใจ

ตอนที่พวกเขากลับมาถึงบ้านพบว่าเฉิงเทียนฟาง ยังกลับมาไม่ถึงเลย

เฉิงเทียนหยวนพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า "ไม่ต้องรอเธอแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นขึ้น อาหารที่ทำไว้ประเดี๋ยวเดียวก็เย็น กระเพาะอาหารของพ่อไม่ค่อยแข็งแรงเนื่องจากกินยาเป็นระยะเวลานาน พ่อจะกินของเย็นไม่ได้"

หลิวอิงจึงทำได้เพียงนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเซวียหลิงก็เดินไปตักข้าวหยิบตะเกียบมา

เฉิงเทียนหยวนตะโกนเรียกพ่อของเขาให้มากินข้าว ทั้งสี่คนนั่งอยู่ที่โต๊ะ รับประทานอาหารร่วมกัน

เฉิงมู่ไห่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางมีความสุข เขาหยิบถุงน้ำร้อนออกมาจากเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนา

"หลิงหลิงเจ้าสิ่งนี้มันใช้ดีจริงเชียว ผ้าขนหนูต่อให้ร้อนแค่ไหนก็สู้มันไม่ได้ เราใส่น้ำร้อนไปมากกว่าชั่วโมงแล้วตอนนี้ก็ยังร้อนอยู่ แขนของพ่อดูไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แล้ว มันดูอ่อนโยนไม่ตึง"

เซวียหลิงมีความสุขยิ่งนักจึงพูดขึ้นว่า "ดีแล้วค่ะพ่อ ถ้าพ่อมีเวลาว่างขอให้เอามันมาประคบแขนบ่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด รอให้ฤดูหนาวมาถึงแล้ว พ่อใช้อันหนึ่งแม่ใช้อันหนึ่ง เอาใส่ไว้ในผ้าห่มเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย"

หลิวอิงหรี่ตาลงมองแล้วใช้ตะเกียบชี้ไปทางลูกชาย

"ดูสิ เด็กผู้หญิงมีความละเอียดประณีตและอบอุ่นกว่าจริงๆ เจ้าเด็กคนนี้ไปอยู่ที่อำเภอตั้งหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยทำเรื่องเอาอกเอาใจเป็นห่วงเป็นใยพวกเราแบบนี้มาก่อนเลย"

เซวียหลิงเหลือบมองไปทางเฉิงเทียนหยวนแล้วหัวเราะขึ้น

เฉิงเทียนหยวนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาก็เหลือบมองเซวียหลิงเช่นกันแล้วกินข้าวต่อไป

เฉิงมู่ไห่ที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่หัวเราะขึ้นพูดว่า "นี่เจ้าทื่อ ยังไม่รีบตักอาหารให้ภรรยาตัวเองอีก ดูนี่สิ หมูสามชั้นมากมาย"

เฉิงเทียนหยวนเป็นคนที่เชื่อฟังคำสั่งสอนมาก เขาตักหมูสามชั้นใส่ลงไปในชามของเซวียหลิง

"นี่คืออาหารที่แม่ของผมทำได้อร่อยมากที่สุด ที่ผมทำไม่อร่อยเท่าแม่ทำหรอก"

เซวียหลิงรีบชิมมันเข้าไป พบว่าหมูสามชั้นนั้นไม่เหลือความมันเยิ้มอีกต่อไป ความสัมผัสตอนเคี้ยวกำลังดีไม่นิ่มหรือไม่แข็งจนเกินไป เมื่อกินเข้าไปในปากเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกระเทียมและข่า รสชาติของซีอิ๊วขาวทั้งหวานและเค็มผสมกันได้ลงตัว จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าต่อมรับรสช่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที

"โอ้โหอร่อย อร่อยมากๆ เลยค่ะ!"

เซวียหลิงเอ่ยชมไม่ขาดสาย "แม่คะ สูตรลับของแม่นี้มันดีมากๆ เลย ไม่ได้การละ ต่อไปพวกเราจะต้องทำเนื้อพะโล้ขายให้ได้เลย"

พ่อแม่สามีได้ยินดังนั้นล้วนคิดว่าเธอกำลังล้อเล่น พวกเขาเพียงแค่ยิ้มออกมาหึๆ แล้วตอบว่า "ถ้าชอบก็กินให้เยอะๆ กินได้เยอะขนาดไหนก็กินเข้าไปเลย"

หลิวอิงแววตาเป็นประกายเธอพูดขึ้นว่า "นี่คือสูตรลับที่แม่ของแม่ส่งต่อมาให้ ก่อนหน้านี้พวกเราจะทำการหมักซอส ซีอิ๊วขาวและปลูกข้าวปริมาณมาก ทุกเทศกาลเราล้วนมีเนื้อพะโล้กิน แต่ต่อมา......ต่อมาที่บ้านสถานการณ์ไม่ดีนัก ไม่สามารถซื้อเนื้อกินได้เลยไม่ได้ทำอีก"

เซวียหลิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปวดใจ เธอปลอบโยนขึ้นว่า "แม่คะ ตอนนี้เราดีขึ้นมากแล้ว แม่วางใจเถอะนะคะ ต่อจากนี้ทุกวันพวกเราจะต้องมีเนื้อกินจริงๆ นะคะ"

นี่ไม่ใช่การโอ้อวด และไม่ได้เป็นเพียงแค่คำปลอบใจธรรมดา

เธอกับพี่หยวนจะต้องตอบแทนบุญคุณของพ่อกับแม่ให้ได้ ให้พวกเขาได้มีอาหารกินอิ่มหนำสำราญ และมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เฉิงมู่ไห่ เอ่ยเตือนภรรยาของเขาเบาๆ ว่า "เรื่องก่อนหน้านี้อย่าได้พูดถึงมันอีกเลย ที่หลิงหลิงพูดก็ถูกแล้ว อนาคตพวกเราจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ"

"นั่นสิ" หลิวอิงปาดน้ำตาที่หางตาแล้วสูดจมูกเข้า พูดขึ้นว่า "รีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยวมันเย็นแล้วจะไม่อร่อย"

ทั้งสามคนสนทนากัน ในไม่ช้าพวกเขาก็กินกันจนอิ่มหนำ

หลิวอิงตักข้าวเอาไว้ให้ลูกสาวถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็เก็บหมูสามชั้นเอาไว้ให้สองชิ้น

เฉิงเทียนหยวนขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า "เจ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งเถลไถลขึ้นเรื่อย ตอนกลางวันป่านนี้ยังไม่กลับบ้านกลับช่องกินข้าว"

หลิวอิงหดคอลง เธอไม่กล้าบอกกับสามีเรื่องที่ลูกสาวแอบไปชื่นชอบกับผู้ชายคนหนึ่งให้สามีฟัง เธอทำเพียงพึมพำออกมาว่า "บางทีอาจจะใกล้กลับแล้วก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปตามเอง"

เฉิงเทียนหยวนหันหลังกลับไปพูดว่า "แม่ครับ เดี๋ยวแม่ช่วยเก็บตรงนี้เถอะ ผมจะไปตามหาเอง พ่อครับ พ่อไปเดินเล่นก่อนเถอะ ตากแดดสักพักค่อยกลับห้อง"

จากนั้นเขาก็ก้าวขาเดินออกไป

เซวียหลิงต้มน้ำร้อนเพื่อล้านจาน จากนั้นก็ทำความสะอาดเช็ดโต๊ะในห้องครัว ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องของทั้งสองคน

เธอพบว่าภายในห้องถูกทำความสะอาดเสียจนสะอาดสะอ้าน มีแสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เตียงใหม่ของเธอดูอบอุ่น

เธอดึงผ้าห่มออกมาเพื่อจะนำไปตากแดดสักหน่อย เธอหันกลับมาเปิดกล่องที่นำมาด้วยตั้งใจจะจัดเสื้อผ้าฤดูหนาวเอากลับไปในวันพรุ่งนี้

จู่ๆ เธอก็ได้ยินน้ำเสียงของเฉิงเทียนหยวนอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านนอกว่า

"หลินชงเป็นคนอย่างไร รู้จักเขาดีแล้วเหรอ?"

อะไรนะ?

หลินชง?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง