สรุปเนื้อหา บทที่ 39 รอจังหวะบุกโจมตี – เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง โดย เฟยจูจู
บท บทที่ 39 รอจังหวะบุกโจมตี ของ เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง ในหมวดนิยายประวัติศาสตร์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย เฟยจูจู อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
โอวหยางเหมยเห็นว่าเขามองไปที่ตัวหล่อนก็ได้แต่เขินอายอย่างรวดเร็ว
"พี่ชายฉันบอกว่า ที่อำเภอของเราก็มีโอกาสในการพัฒนา ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะเปิดร้านหรือโรงงานเล็กๆ ไว้ที่นี่ด้วย แล้วให้ฉันเรียนรู้จัดการดูแลมัน ในอนาคต......ในอนาคตจะมอบให้เป็นสินสอดทองหมั้นตอนที่ฉันออกเรือน"
"โอ้โห!" เฉิงเทียนฟางพูดขึ้นด้วยท่าทางมีความสุข "พี่ชายของพี่สุดยอดมากจริงๆ ใครที่แต่งงานกับพี่ช่างโชคดีมากๆ เลย พี่ว่าใช่ไหมล่ะ?"
เฉิงเทียนหยวนตอบรับเพียงว่า "อืม" เบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
"พี่!" เฉิงเทียนฟางเรียกขึ้นอีกครั้ง "พี่ทำงานอยู่ในอำเภอตั้งหลายปีแล้ว พี่คุ้นเคยกับที่นั่นดี พี่จะต้องช่วยพี่เหมยนะ เธอเป็นคนกันเองแท้ๆ "
เซวียหลิงค่อนข้างที่จะมีปฏิกิริยารวดเร็ว แม้ว่าเธอจะกำลังก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนที่เสี่ยวกูจื่อของเธอพูดคำว่า 'คนกันเองแท้ๆ' แววตาของเธอก็มองมาที่เขาเล็กน้อย
เด็กผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ช่างไร้ความคิดเหลือเกิน
เฉิงเทียนหยวนยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาพยายามผลักดันความรับผิดชอบออกไปและหาข้ออ้างว่า
"พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง ถ้าช่วยได้แน่นอนว่าผมจะช่วย เพียงแค่งานค่อนข้างจะยุ่ง และที่จริงผมก็เป็นแค่ลูกจ้างเขา ทุกเรื่องจะต้องฟังคำสั่งจากหัวหน้า ถ้าหากว่าเหมยจื่อคุณมีเรื่องอะไรให้ผมช่วย คงต้องรอจนกระทั่งผมเลิกงานก่อน"
เฉิงเทียนฟางได้ยินดังนั้นก็เป็นกังวลขึ้นมา "ได้ยังไงล่ะคะ พี่เหมยไม่คุ้นเคยกับที่นั่นเลย พี่จะต้องไปช่วยเธอทุกวันสิ เถ้าแก่ของพี่มีดีตรงไหนกัน ในอนาคตหากว่าพี่เหมยได้เป็นเถ้าแก่เนี๊ยเองล่ะก็ คิดว่าเธอจะปฏิบัติกับพี่ไม่ดีเหรอ? นี่พี่ ฉันจะบอกอะไรให้ รอให้พี่เหมยเปิดร้านเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ พี่ก็ไปทำงานที่นั่นดีกว่า"
คำพูดของเธอเพิ่งจะจบลง คนบนโต๊ะอาหารทุกคนก็พากันเงยหน้าขึ้น
เฉิงมู่ไห่และหลิวอิงต่างตกตะลึงและทำสีหน้าเป็นกังวล
เดิมทีเซวียหลิง แววตาขยับเขยื้อนเล็กน้อยต้องการที่จะเอ่ยปาก แต่เธอคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องพูด คนในสมัยนี้ได้รับผลกระทบมาจากคนรุ่นเก่า ดังนั้น พวกเขาจึงมีความขยันหมั่นเพียรในการทำงานมาก
เว้นแต่ว่าสหกรณ์ร้านค้าไม่สามารถทำการค้าได้ต่อไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเฉิงเทียนหยวนคงจะไม่เปลี่ยนงานง่ายๆ
เดิมทีเธอเองก็ต้องการจะเกลี้ยกล่อมให้เขาทำการค้ากับเธอที่ทะเล แต่พบว่าตอนนี้เงินสำรองในการลงทุนของทั้งสองคนยังมีไม่มากจึงไม่มีโอกาสได้ด้วยเหตุนี้เธอจึงอดทนไว้ไม่ได้พูด
โอวหยางเหมยช่างไร้เดียงสาเสียจริง คิดว่าร่วมมือกับเสี่ยวกูจื่อแล้วจะสามารถโน้มน้าวเขาได้สำเร็จ? พวกเธอไม่เข้าใจความคิดอันแท้จริงของเฉิงเทียนหยวนเอาเสียเลย
เป็นไปตามที่เธอคิดเอาไว้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉิงเทียนหยวนส่ายหน้าเล็กน้อย
"อย่าได้พูดจาไร้สาระไป พี่ทำงานอยู่ที่สหกรณ์ร้านค้าดีๆ อยู่ ไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่อื่น"
ในใจของเขาแอบพึมพำขึ้นว่า ต่อให้เขาวางแผนจะไปทำงานอื่นก็คงจะไม่ไปทำงานกับสองพี่น้องโอวหยางเหมยนั่นแน่นอน
เซวียหลิงแอบยิ้มเยาะและเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง
เฉิงเทียนฟางวางตะเกียบลงแล้วเบิกตากว้าง "นี่พี่คะ ฉันได้ยินมาว่าพี่เสียงทำการค้าอยู่ทางใต้ได้เงินมากมาย พี่จะเอาแต่มุดหัวอยู่ในสหกรณ์ร้านค้านั่นไม่ได้ อีกอย่างที่นั่นไม่สามารถทำเงินก้อนใหญ่ได้ สู้พี่......"
"ตอนกินข้าวอย่าพูดให้มากความ" จู่ๆ เฉิงมู่ไห่ก็พูดขัดขึ้น น้ำเสียงของเขาลดต่ำลง "ลูกก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะเข้าใจอะไร พี่ชายของลูกเขามีแผนการของตนเองอยู่ ให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปปรึกษากันเอง จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยทำไม"
เฉิงเทียนฟางถูกคำพูดของพ่อทำเอาแทบสำลัก เธอทำหน้ามุ่ยทันที
"พ่อคะ หนูก็แค่คิดแทนพี่ชาย"
หลิวอิงพบว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีนัก อีกอย่างสีหน้าของโอวหยางเหมยก็ดูย่ำแย่ จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "กินข้าวกันก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันทีหลัง เหมยจื่อกินเนื้อให้เยอะๆ ล่ะ"
โอวหยางเหมยพยักหน้าตอบรับจากนั้นเหลือบตาไปมองดูเซวียหลิงก่อนจะหันไปมองเฉิงเทียนหยวนอย่างรวดเร็ว
"เทียนหยวน เรื่องในอนาคตค่อยว่ากัน แต่สองวันนี้ฉันจะเดินทางไปที่อำเภอ เมื่อถึงเวลาแล้วฉันจะไปหาที่สหกรณ์ร้านค้านะ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก่อน"
เฉิงเทียนหยวนลังเลเล็กน้อยแต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็พยักหน้าเบาๆ
"อืม"
เมื่อโอวหยางเหมยเห็นว่าเขาตอบตกลงแล้วก็ได้ยิ้มขึ้น รอยยิ้มตรงหางตาแฝงไปด้วยความหยิ่งผยองมองไปทางเซวียหลิง
เซวียหลิงเห็นฉากนี้ทุกอย่างโดยละเอียด แต่เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วกินอาหารต่อไป
วันนี้ในตอนเช้าทั้งสองต้องรีบขึ้นรถ ตอนบ่ายก็ยุ่งวุ่นวายอยู่ในนาเป็นเวลาหลายชั่วโมง เธอหิวจนท้องจะกิ่ว
ตอนนี้ศัตรูหัวใจได้ควบคุมเกมเอาไว้แล้ว เธอคงกินให้อิ่มก่อนประเดี๋ยวจะได้มีแรงต่อสู้
เฉิงเทียนหยวนลุกขึ้นยืนแล้วหยิบรากบัวหมักน้ำผึ้งขึ้นมาชิ้นหนึ่งใส่ลงไปในชามของเซวียหลิง
โอวหยางเหมยเห็นเขาปฏิเสธดังนั้นเธอก็ยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ว่า "แหม วันนี้วันหยุดแท้ๆ มีอะไรที่ต้องทำกันล่ะคะ"
เฉิงเทียนหยวนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
เซวียหลิงเห็นว่าเขาทำตัวไม่ถูก จึงได้ส่ายหน้าแอบเยาะเย้ยไปทางผู้หญิงที่ไม่รู้จักเหตุผลคนนี้ก่อนจะยิ้มอธิบายว่า "เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะไปบ้านเพื่อนหลังจากกินอิ่ม เพราะว่าวันพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเดินทางกลับเมืองกันแล้ว คาดว่าคงอีกสักพักใหญ่กว่าจะได้กลับมาอีก เขาจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ไปสนทนากับเพื่อนๆ น่ะค่ะ"
โอวหยางเหมยไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงเดินทางจากไปพร้อมกับเฉิงเทียนฟาง
เฉิงเทียนหยวนเหลือบมองไปทางเซวียหลิงอย่างซาบซึ้ง แล้วก้มหน้าทำงานต่อไป
เมื่อมีความช่วยเหลือของเฉิงเทียนหยวนงานในห้องครัวจึงจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
หลิวอิง ตักน้ำร้อนแล้วพูดขึ้นว่า "เราสองคนก็รีบไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องรีบตื่นไปขึ้นรถอีก"
เซวียหลิงตอบรับว่า "ค่ะแม่ แม่ก็ยุ่งมาทั้งวันแล้ว รีบพักผ่อนเถอะค่ะ"
หลิวอิงเดินออกมาจากห้องครัวแล้วถือถังน้ำร้อนกลับไปที่ห้องของตน
เฉิงเทียนหยวนมองไปทางท้องฟ้าด้านนอก พบว่าตอนนี้อย่างมากก็คงเป็นเวลาหนึ่งทุ่ม
"ผมจะไปเอาน้ำร้อน เธอกลับห้องไปก่อนนะ"
เซวียหลิงตอบรับแล้วเดินตรงไปที่ห้องของทั้งสอง
ภายในห้องยังไม่ได้ถูกเปิดไฟขึ้น ดังนั้นมันจึงมืดสนิท เธอเปิดประตูออกมาแล้วใช้มือคลำหาปุ่มเปิดไฟ
ทันใดนั้นเอง มีชายร่างกายสูงใหญ่เดินตรงเข้ามาเงียบๆ มือหนึ่งกดไหล่ของเธอเอาไว้ อีกมือหนึ่งเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟท่ามกลางความมืดอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
ภายในห้องก็สว่างทันที
เมื่อเขาพบว่าภายในห้องสว่างแล้วจึงปล่อยไหล่เธอออก ก่อนจะหันหลังกลับมาใช้มือถือถังน้ำร้อนเข้าไปข้างในแล้วปิดประตู
"สวิตช์ไฟนี้ผมเป็นคนทำเอง มันอยู่สูงไปหน่อย ต่อไปนี้ถ้าเปิดไม่ถึงก็ให้เรียกผม อย่าพยายามไปเปิดเองมันอันตราย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง