เฉิงเทียนหยวนกระตุกมุมปากของตนเองเล็กน้อยแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงอันต่ำทุ้มว่า "เรื่องราวในบ้านไม่ใช่ความรับผิดชอบของภรรยาผมทั้งหมด ดังนั้นไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครต้องทำอะไรทุกอย่าง"
โอวหยางเหมยเบ้ริมฝีปากขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "คุณนี่ช่างมองโลกในแง่ดีจริงๆ มีบ้านไหนบ้างที่ผู้หญิงไม่ได้เป็นคนทำอาหาร?"
เฉิงเทียนหยวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า "ตอนที่ผมเล็กๆ พ่อกับแม่ต้องไปทำนา อาหารที่บ้านเป็นผมเองที่คอยทำ งานบ้านไม่ใช่งานหนักแต่เป็นงานที่ละเอียดและต้องทำทุกวัน อาหารแต่ละมื้อล้วนต้องทำ งานบ้านเป็นงานของทุกคนในครอบครัวไม่ใช่งานของใครคนใดคนหนึ่ง หากว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้านก็ควรที่จะช่วยกันทำ ไม่ว่าเป็นใครก็ตามที่ทำล้วนทำเพื่อบ้านไม่ได้ทำเพื่อใคร"
เขาแล่เนื้อวัวให้เป็นชิ้นบางเฉียบแล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
"ภรรยาของผมยุ่งอยู่กับงาน ซึ่งผมมีเวลาว่างมากกว่าเธอ ดังนั้นผมจึงทำมากกว่าเธอเล็กน้อย แต่ละคนล้วนต้องกินอาหารวันละสามมื้อ เธอก็กิน ผมก็กิน จะให้เธอเป็นคนทำทุกมื้อเลยอย่างงั้นเหรอ? กฎนี้ใครเป็นคนตั้งขึ้นมากันล่ะ"
โอวหยางเหมย ถูกคำพูดของเขาทำให้กระอึกกระอักพูดไม่ออก แต่เธอก็ไม่รู้จะหักล้างด้วยเหตุผลใด
เมื่อเธอลองคิดในมุมมองอีกมุมหนึ่ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเซวียหลิง
เดิมทีเขาเป็นชายที่เธอชื่นชอบมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่กลับถูกคู่หมั้นคู่หมายจากไหนก็ไม่รู้มาชิงตัดหน้าไป
เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดเบาๆ ว่า "ในอนาคตฉันควรจะหาสามีแบบคุณ แม้ว่าฉันจะทำอาหารได้ แต่ฉันก็หวังว่าเขาจะทำเป็นด้วย เช่นนี้เขาจึงจะช่วยฉันได้บ้าง"
เฉิงเทียนหยวนได้ยินแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขายุ่งกับงานในครัวของตนต่อไป โอวหยางเหมยกลัวว่าสถานการณ์จะดูเย็นชืด ดังนั้นเธอจริงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาพูดถึงเรื่องเฉิงเทียนฟางขึ้นมา
"อาหยวน ทำไมอาฟางถึงไม่ได้ไปทำงานที่สหกรณ์แล้วล่ะ? เมื่อวันก่อนฉันไปบอกลาเธอ แต่คนในนั้นบอกว่าเธอลางานหนึ่งเดือน ตอนนี้ยังไม่ไปทำงาน อาฟางเป็นอะไรอย่างงั้นเหรอ?"
เรื่องของเฉิงเทียนฟางนั้น ตระกูลเฉิงปิดบังได้ค่อนข้างจะมิดชิด พวกเขาปิดบังเรื่องที่หลินชงย่องเข้าหาเธอยามค่ำคืนเอาไว้ได้อย่างดี บอกเพียงแค่ว่าเกือบจะถูกขโมยไก่เท่านั้น
จากนั้นอาฟางก็ขอลาหยุดอยู่ที่บ้าน บอกว่าเธอช่วยคนที่บ้านจัดเตรียมอาหารสำหรับฤดูหนาว อีกทั้งพ่อของเธอก็เกิดเจ็บป่วยไม่สบาย อาการปวดแขนกำเริบขึ้นอีกครั้ง
อาการเจ็บแขนของเฉิงมู่ไห่นั้นเป็นมานานแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ดี พวกเขารู้ว่าเฉิงเทียนหยวนไม่อยู่บ้าน และผืนนาที่บ้านก็มีจำนวนมาก ก่อนเข้าฤดูหนาวคาดว่าคงจะทำการเก็บเกี่ยวไม่เสร็จ ดังนั้นเรื่องที่อาฟางลางานหนึ่งเดือนจึงไม่มีใครสงสัย
เฉิงเทียนหยวนรู้ดีว่าน้องสาวของเขาไม่ใช่คนที่จะเก็บความลับอยู่ ไม่รู้ว่าน้องสาวของเขานั้นพูดอะไรกับโอวหยางเหมยไปบ้าง แต่เขาก็ค่อนข้างระมัดระวัง จึงได้หาเหตุผลอธิบายออกไป
ดูเหมือนโอวหยางเหมยจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เธอหลบตาเขาอยู่สองสามหน
เหมือนเธอจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงยิ้มแล้วตอบว่า "สภาพแวดล้อมในสหกรณ์ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กฝึกงาน และไม่ได้เงินด้วย ถ้าทำเพียงไม่กี่วันก็ยังพอ แต่ถ้าทำนานวันเข้าใครจะไปชอบกันล่ะ มีใครกันจะยินดีทำงานในสถานที่ซึ่งไม่ได้เงินแบบนั้นใช่ไหมล่ะคะ?"
เฉิงเทียนหยวนอธิบายขึ้นว่า "ฝึกงานเพียงแค่ปีเดียว ต่อไปจะได้ทำอย่างเต็มตัว คนเราต้องมีวิสัยทัศน์มองไปข้างหน้าในระยะยาว เช่นเดียวกับคนที่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย พวกเขาเสียเวลาเรียนตั้งหลายปี อีกทั้งยังต้องจ่ายค่าเล่าเรียนด้วย ทุกคนหวังเพียงว่าจะมีอนาคตที่ดี แม้จะต้องทนทุกข์เพียงชั่วครู่ แต่ก็เพื่ออนาคตอันยาวไกลไม่ใช่หรือไง?"
แม้ว่าโอวหยางเหมยไม่อาจสนทนาร่วมไปกับเขาได้ในทางแนวเดียวกัน แต่เธอก็เรียนรู้ดุจดั่งนกแก้ว เมื่อเขาพูดเช่นนั้นเธอก็พยักหน้าตอบว่า "ใช่ค่ะใช่ นี่มันเป็นความจริง"
เธอสนทนาอย่างมีความสุข แต่เฉิงเทียนหยวนกลับรู้สึกน่าเบื่อ
ว่ากันว่าหากเจอผู้ที่คุยถูกคอ ดื่มสุราร่วมกันสักพันจอกก็ไม่เบื่อหน่าย แต่หากว่าสนทนาเข้ากันไม่ได้ แค่ครึ่งประโยคก็รู้สึกน่าเบื่อแล้ว เวลาที่เขาอยู่กับภรรยาดูเหมือนว่า มีหัวข้อในการสนทนาร่วมกันตลอดเวลา พวกเขามีเรื่องคุยกันได้ไม่รู้จักจบ
แต่สำหรับโอวหยางเหมย มุมมองของเธอไม่สอดคล้องกันอย่างมาก เวลาคุยกันค่อนข้างลำบาก ต้องคอยอธิบายอยู่ตลอดเวลา มันช่างเหนื่อยจริงๆ
เมื่อเขาพบว่าข้าวสุกแล้ว ก็ได้รีบลงมือทำอาหาร
โอวหยางเหมยพูดถึงเรื่องราวต่างๆ อีกมากมาย โดยมากแล้วล้วนเกี่ยวข้องกับเฉิงเทียนฟาง และเรื่องในสหกรณ์
"......ในคืนไหว้พระจันทร์วันนั้น ฉันได้ยินอาฟางพูดว่าหลินชงนั้นมีความรู้มากมาย เขาอ่านออกเขียนได้ ได้ยินมาว่าเขากำลังจะไปเรียนมหาวิทยาลัย การเดินทางไปต่างจังหวัดครั้งนี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว ในไม่ช้าก็จะกลับมาที่อำเภอแล้ว จะว่าไปก็ช่างบังเอิญเหลือเกินที่หลินชงเป็นคนที่นี่ด้วย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง