เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง นิยาย บท 62

เฉิงเทียนหยวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่ชื่นชอบ

หลายปีมานี้เขาได้เข้าสังคมมาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เดินทางไปสู่ขอภรรยา ณ เมืองหลวง เขาได้พบกับคนรวยที่มีฐานะมั่งคั่งจริงๆ

ผู้คนเหล่านั้นก็คือญาติสนิทมิตรสหายของพ่อตาแม่ยายเขา เขาได้ยินพ่อตาแม่ยายอธิบายว่าพวกเขาเหล่านั้นทำการลงทุนหลายแสนหยวนทีเดียว นับว่าเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงธุรกิจในเมืองหลวง

เขาไม่ได้ก้าวขึ้นไปทักทาย แต่ก็รู้สึกได้ว่าผู้คนเหล่านั้นทั้งสุภาพและมีมารยาท ไม่ได้เป็นเช่นโอวหยางเหมย และพี่ชายของเขาที่ทำท่าทางโอ้อวดแบบนี้

อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ครอบครัวของพ่อตาแม่ยายของเขาก็นับว่ามีเงิน พวกเขาอาศัยอยู่ในอาคารสองชั้นตกแต่งภายในงดงาม ไม่เพียงแค่มีโรงงานเป็นของตัวเองและยังมีรถยนต์อีกด้วย

แต่พวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตนเหมือนดังเช่นตอนอยู่ในซอย ทั้งสุภาพอ่อนโยนและเป็นกันเอง

ส่วนโอหยางเสียง ผู้ชายคนนั้นก็เพียงแค่สร้างบ้านสองชั้นและซื้อรถยนต์คันเล็กๆ กลับทำท่าทางโอ้อวดเย่อหยิ่ง

น้องสาวของเขาก็ได้รับอิทธิพลมาจากเขาด้วย คำพูดคำจาช่างดูกร่างเหลือเกิน

โอวหยางเหมยหาได้รู้ไม่ว่าเธอกำลังทำให้คนอื่นไม่ชื่นชอบ เธอได้แต่ยืดคางอันขาวอ้วนของเธอขึ้น

“พี่ชายของฉันบอกเอาไว้แล้ว ฉันอยากกินอะไรก็ให้กินไป อยากใช้เงินเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำเป็นต้องเก็บออม ตอนนี้บ้านของเราไม่ขาดแคลนเงินแม้แต่น้อย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้อย่างประหยัด”

ดูเหมือนว่าเธออยากจะล้อเล่นกับเขา จึงได้ยิ้มแล้วพูดว่า “อาหยวนนายรู้หรือไม่ คำพูดติดปากพี่ชายของฉันมักจะพูดเป็นประจำนั่นก็คือ ปัญหาที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ล้วนไม่ใช่ปัญหา นายว่ามันน่าตลกไหม?”

เฉิงเทียนหยวนทำอาหารของตนแล้วพยักหน้ารัวๆ

โอวหยางเหมยคุยโวโอ้อวดเรื่องพี่ชายของตนมีเงินมั่งคั่งอีกสองสามประโยค แต่พบว่าเฉิงเทียนหยวนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เธอจึงทำได้เพียงหุบปากลง

“อ้าว อะไรกันนี่! ท้องฟ้ามืดเสียแล้ว”

เฉิงเทียนหยวนจึงกล่าวขึ้นด้วยความว่องไวว่า “ท้องฟ้ามืดแล้วเดินทางไม่สะดวก คุณรีบกลับไปโรงแรมก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าผมทำอาหารเช้าเสร็จแล้วจะไปหา”

โอวหยางเหมยจ้องไปที่เขาด้วยความไม่เต็มใจนัก เธอไม่อยากไปตอนนี้ แต่ก็ทำได้เพียงเบ้ริมฝีปากเหมือนเด็กๆ พูดว่า”อาหยวนฉันรอนายนะ นายต้องรีบมาเร็วๆ อย่าให้ฉันรอนานเข้าใจไหม?”

เฉิงเทียนหยวนขมวดคิ้วขึ้นแล้วก้าวถอยหลังออกมา

“ครับผม แต่ว่าต่อจากนี้คุณอย่าใช้น้ำเสียงแบบนั้นพูดกับผมอีก ผมรู้สึกไม่คุ้นชินกับมัน”

โอวหยางเหมยจ้องไปที่เขาด้วยท่าทางเขินอาย แล้วรีบกลับหลังหันวิ่งออกไปทันที

เฉิงเทียนหยวนกลอกตามองอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะนำเนื้อที่ผัดเสร็จออกมาจากกระทะแล้วเดินออกไปปิดประตูที่ลาน ใส่กุญแจปิดตาย

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ภรรยาของเขาคงจะยุ่งอยู่กับการแปลงาน ขาของเขาก็ยังไม่หายดี จึงไม่สามารถออกไปทำงานพิเศษได้ ดังนั้นปิดประตูไปเสียดีกว่า ป้องกันไม่ให้คนผ่านไปผ่านมาเข้ามาขัดจังหวะอีก

หลังจากที่ตักข้าวตักอาหารเรียบร้อยแล้วก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “ที่รักครับ ลงมากินข้าวได้แล้ว!”

ผ่านไปไม่นาน เซวียหลิงก็รีบเดินลงมา

“พี่หยวน เมื่อสักครู่มีแขกมาเหรอ? ดูเหมือนฉันจะได้ยินนายคุยกับคนอื่น”

เฉิงเทียนหยวนบอกไปตามจริงแล้วอธิบายด้วยความลำบากใจว่า “ผมตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะพาเธอไปดูทำเลสักหน่อย ตามคำที่เธอร้องขอ”

เซวียหลิงพยักหน้าแล้วกินอาหารในจาน

เมื่อเฉิงเทียนหยวนเห็นว่าเธอไม่พูดไม่จา เขาก็รู้สึกหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “ที่รักครับ......”

“ไปเถอะค่ะ” เซวียหลิงพูด “แต่นายควรจะต้องระวังเอาไว้ ขาของนายยังไม่หายดี ช่วงนี้อย่าใช้กำลังมาก”

เมื่อเฉิงเทียนหยวนเห็นว่าน้ำเสียงของเธอเป็นปกติ จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“ผมไปช่วยเธอด้วยความจำใจเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน ที่รักอย่าได้เข้าใจผมผิดไป”

เขาพูดคำหวานซึ้งไม่เป็น และไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร จึงทำได้เพียงพูดตามความจริงเท่านั้น

เซวียหลิงยิ้มขึ้นแล้วคีบเนื้อชิ้นใหญ่ให้เขา

“ฉันรู้ สองวันมานี้ฉันตั้งใจจะหาเงิน ไม่มีเวลาไปหวงใครหรอก”

นี่เป็นเรื่องจริง เธอพูดขึ้นโดยไม่ได้โกหกเขา

เฉิงเทียนหยวนจึงยิ้มขึ้นเบาๆ คิดว่าเธอกำลังล้อเล่น เขาคีบเนื้อชิ้นใหญ่กว่าที่เธอให้เขา แล้วใส่ลงไปในชามของเธอ

“นายทำงานหนัก ต้องกินให้มากกว่านี้หน่อย”

ทั้งสองคงยิ้มให้กัน แล้วร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นอย่างหวานชื่น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง