เพนนีไม่ดิ้นรนในอ้อมแขนเขาราวกับว่าเธอเหนื่อยจะสู้แล้ว สัญญาณท้าทายเดียวที่เห็นคือน้ำตาที่ปริ่มขอบตาของเธอ
เธอใช้ชีวิตช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ราวกับซอมบี้ ทำให้ตัวเองเฉยชากับคำดูถูกเหยียดหยามรุนแรงที่พุ่งเป้ามาที่ตัวเอง เธอเคยคิดจะจบชีวิตหลายครั้งเพื่อหนีจากความทุกข์และความเจ็บปวด แต่ทุกครั้งใบหน้าลูกสาวจะปรากฏขึ้นมาในหัว เมื่อคิดถึงลูกสาวอันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวหนึ่งเดียวของตัวเอง เพนนีก็กัดฟันก้าวต่อไป
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะปีศาจร้ายที่ฉีกทึ้งชีวิตเธอเป็นชิ้นๆ!
นาธานคือคนที่นำความทุกข์ทรมานและความสิ้นหวังอันหนักหนาสาหัสมาให้เธอและลูกสาว
เธอสาบานว่าเธอจะมุมานะทำงานอย่างหนักและอยู่เป็นโสดตลอดไป จุดประสงค์หนึ่งเดียวของเธอคือการชดเชยความทุกข์ของลูกสาวเธอด้วยการมอบอนาคตที่มีความหวังและมีความสุขให้แก่เธอ
เธอไม่รู้เลยว่าชายที่เป็นคนจุดชนวนโศกนาฏกรรมเมื่อห้าปีก่อนและทำให้เธอต้องพบเจอช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิต ตอนนี้ได้กลับมาหลอกหลอนเธอแล้ว มันเหมือนกับการทาเกลือลงบนแผลสด เมื่อเขาปรากฏตัว ความทรงจำอันขมขื่นที่ฝังกลบเอาไว้นานแล้วก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มันผ่านเข้ามาในหัวราวกับภูตผีที่ไม่มีวันหายไปไหน
เธอโหยหาการพักเหลือเกิน เธอสวดอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยเธอให้พ้นทุกข์ ขอร้องสวรรค์อย่างจริงจังให้หยุดเอาความลำบากมากองให้เธอเสียที
สภาพน่าสงสารของเพนนีทำให้นาธานทนดูไม่ได้ เขาวางเธอให้ลงยืนบนพื้นอย่างนุ่มนวล
“คุณให้โอกาสผมชดใช้ให้คุณและลูกของเราได้มั้ย” คนแข็งกร้าวอย่างเขาไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าอ่อนโยนเลย แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาขอร้องด้วยกิริยาอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
“เพื่อลูกของเรา และเพื่อตัวคุณด้วย ได้โปรดให้โอกาสผมสักครั้งเถอะนะ” เขาขอร้อง
เพนนีตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมเมื่อเขาพูดคำว่า ‘ลูกของเรา’
คำพูดนั้นจุดประกายความหวังขณะที่เธอค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมอง
“เชื่อใจผมเถอะ ผมรู้ว่าคุณกับลูกต้องผ่านอะไรเลวร้ายมาขนาดไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” นาธานอ้อนวอนต่อเสียงอ่อน “ผมรู้ว่าคุณเกลียดผม แต่ให้โอกาสผมชดใช้ความผิดหน่อยเถอะนะ”
“เด็กจากครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวมีแนวโน้มว่าจะมีบุคลิกภาพแปรปรวนมากกว่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่โดยรวมด้วยนะ”
“ให้โอกาสผมเถอะนะ เพนนี”
นัยน์ตาของเพนนีสะท้อนคลื่นอารมณ์ขณะที่เธอครุ่นคิดตามคำพูดของเขา ควีนี่กำลังโตไวและเริ่มรู้เดียงสามากขึ้นทุกวัน
ครอบครัวที่ขาดพ่อย่อมไม่มีวันสมบูรณ์ นับประสาอะไรกับจะให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองก็ปกติและไม่ได้มีอะไรผิดแผกไปจากคนอื่นๆ
เธอปวดใจทุกครั้งที่เห็นหน้าตาน่าสงสารของควีนี่เวลาเด็กน้อยถามหาพ่อ
ทว่าเธอทำได้แค่หันหน้าหนีแล้วปาดน้ำตาโดยที่ไม่มีคำตอบให้ลูกสาวที่รักของเธอ
ใช่แล้ว ควีนี่ต้องการพ่อ
เธอใช้เวลานานกว่าจะตัดสินใจ สุดท้ายก็ตอบตกลง “ก็ได้ค่ะ ฉันจะให้โอกาสคุณได้กลับไปเจอลูก ฉันให้โอกาสคุณเพราะลูกต้องการพ่อในชีวิต แต่ฉันขอเตือนคุณอะไรไว้อย่างหนึ่ง อย่าทำอะไรให้เธอเสียใจเด็ดขาด”
“แล้วก็เพื่อให้เข้าใจตรงกัน การที่ควีนี่เรียกคุณว่าพ่อ ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นสามีของฉัน เข้าใจมั้ยคะ”
“ครับ!” นาธานพยักหน้ารับ
นาธานรู้ดีว่าเพนนีให้โอกาสเขาเจอควีนี่เพราะเธอต้องการให้ลูกสาวมีอนาคตที่สดใส
คงต้องใช้เวลาอีกนานโขกว่าเธอจะยอมให้อภัยเขาสำหรับความเจ็บปวดที่เขาสร้างให้เธอ ยิ่งให้เธอรับเขาเป็นสามียิ่งไม่ต้องพูดถึง
ช่วงเวลาหลายปีแห่งการทนทุกข์อย่างเงียบงันได้ถักทอใยที่มองไม่เห็นขึ้นในตัวเธอ เกิดเป็นปมพันกันยุ่งเหยิง เขารู้ว่าต้องใช้เวลาในการแก้และคลายปมแห่งความเจ็บปวดและความเศร้าเหล่านั้น
...
ขณะเดียวกัน ในห้องเรียนชั้นประถมของอนุบาลโกลเด้นแอปเปิล คุณครูไม่อยู่ในห้อง!
เด็กผู้ชายร่างอ้วนคนหนึ่งในชุดที่ออกแบบโดยกำลังดึงเชือกเส้นหนึ่งพลางมองด้วยแววตาพึงพอใจ
ปลายเชือกอีกข้างผูกติดอยู่กับคอของเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งซึ่งกำลังถูกลากไปราวกับลูกสุนัข
เด็กชายตัวอ้วนกระตุกสายจูงอย่างใจร้อนและตะโกนใส่เธอ “ไม่รู้หรือไงว่าเธอเป็นหมาของฉัน ควีนี่ หมาต้องเห่าสิ เห่าเร็ว!”
เหยื่อคลานไปบนพื้นเหมือนลูกสุนัข ใบหน้ามอมแมมของเธอเปื้อนฝุ่นชอล์ก เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยอายุประมาณสี่ขวบ
ใต้รอยเปื้อนและคราบฝุ่นคือใบหน้าได้รูปและเครื่องหน้าอันน่ามองของเด็กผู้หญิงใสซื่อหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง
ความสุขเอ่อท้นควีนี่ขณะที่เธอวิ่งไปหานาธานซึ่งอุ้มเธอขึ้นมา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ลุกโชติช่วง
ควีนี่ใช้แขนน้อยๆ กอดคอพ่อ มีความสุขมากเสียจนหยุดเรียกเขาไม่ได้ “พ่อจ๋า พ่อ”
นาธานเองก็รู้สึกเอ่อท้นด้วยความรักและความอ่อนโยน ขณะที่เขาตอบรับเสียงร้องไห้กระซิกๆ ของลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู
เพนนีสังเกตท่าทางของสองพ่อลูกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักจากด้านข้าง เธอตัวสั่นเทาด้วยความสุข เพราะทุกอย่างดูช่างอบอุ่นเป็นกันเอง ทว่าก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นความจริง
นี่เป็นครั้งแรกที่ควีนี่ได้สัมผัสความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อ
ควีนี่ยังคงกอดพ่อของเธออยู่พลางเรียก “พ่อจ๋า” ซ้ำๆ กระทั่งเสียงแหบแห้ง
การปรากฏตัวของเขาเติมเต็มความสุขให้โลกใบเล็กๆ ของเธอ ทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิตที่ยังเยาว์ของเธอ
เด็กชายร่างอ้วนแย้งขึ้นอย่างแดกดัน “เขาไม่ใช่พ่อเธอซะหน่อย แม่ฉันบอกว่าเธอน่ะเป็นนังร่** เพราะว่าแม่เธอเป็นผู้หญิงเหลวแหลกที่นอนกับผู้ชายไปทั่ว แม่เธอท้องขึ้นมา เธอก็เลยเกิดมาด้วย เธอก็เลยไม่มีพ่อยังไงล่ะ”
เงาดำมืดพาดผ่านหน้านาธานเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น
เพนนีทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเตือนเด็กชายร่างอ้วนด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “นี่ เจ้าหนู ระวังคำพูดไว้ด้วยนะ ถ้าเธอยังทำตัวแย่และไม่เคารพคนอื่นแบบนี้ ฉันจะไปบอกคุณครูของเธอและทำให้แน่ใจว่าเธอจะได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีจากคุณครู”
เหวอ! เด็กชายร้องลั่นด้วยความกลัวเมื่อได้ยินที่เพนนีพูด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะลูกรัก มีใครรังแกลูกเหรอ”
ตอนนั้นเองเสียงแหลมสูงก็ดังขึ้นราวกับเสียงโหยหวนของแม่มด
หญิงร่างท้วมคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามาในห้องเรียน ท่าทางกระฟัดกระเฟียดอย่างชัดเจนจนนึกภาพควันออกหูได้ เธอเป็นหญิงวัยกลางคนและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าจากดีไซเนอร์ตั้งแต่หัวจดเท้า นิ้วอ้วนสั้นประดับด้วยเครื่องประดับอู้ฟู่และเพชรอย่างโอ้อวด
หญิงไร้รสนิยมคนนี้เป็นแม่ของเด็กชายร่างอ้วน เธอมารับเขาหลังโรงเรียนเลิก
เมื่อเด็กชายร่างอ้วนเห็นแม่ของเขาก็ชี้มาที่เพนนีแล้วร้อง “คนนี้ฮะแม่ เขารังแกผมแล้วก็ตีผมด้วย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เพียงเธอผู้เดียว