เมื่อได้ยินเจ้านายพูดดังนั้น ซู่อีก็พูดอย่างหนักแน่นว่า "ข้าน้อยรับทราบเจ้าค่ะ คนที่ผิดคือหนานเหลียน ไม่ใช่ข้าน้อยเจ้าค่ะ"
"ดีมาก" เฉียวชิงหวั่นมองดูพวกนางอย่างพึงพอใจ
พวกนางทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่เฉียวฮูหยินคัดเลือกมาเป็นอย่างดี หลายปีนี้พวกนางติดตามรับใช้เฉียวชิงหวั่นจึงได้เรียนอ่านเขียนหนังสืออยู่บ้าง โดยสาวใช้ใหญ่ที่รับใช้ใกล้ชิดอย่างพวกนางปกติแล้วไม่มีหน้าที่ต้องทำงานหนักอื่นใด
แทบจะเทียบได้กับคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูในครอบครัวเล็ก ๆ บางครอบครัวแล้ว
ลวี่จู๋พูดอย่างกังวลว่า "วันนี้แดดแรงมาก หากปล่อยให้หนานเหลียนคุกเข่านานขนาดนั้น นางอาจจะล้มป่วยเอาได้นะเจ้าคะ"
เฉียวชิงหวั่นพูดโดยไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อยว่า "สาวใช้ที่ทรยศขายเจ้านายเช่นนี้ สั่งให้นางคุกเข่าแค่หนึ่งชั่วยามยังน้อยเกินไปด้วยซำ้"
หากมิใช่ว่าเก็บนางไว้ยังมีประโยชน์ เฉียวชิงหวั่นคงสั่งให้ปลิดชีวิตนางไปนานแล้ว!
สาวใช้ทั้งสามคนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงและตอบว่า "คุณหนูใหญ่ คุณหนูเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเจ้าคะ? แม้ว่าหนานเหลียนจะทำผิดจริง แต่นางก็ยังถือได้ว่าภัคดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ"
เฉียวชิงหวั่นพูดอย่างมั่นใจว่า "ข้าไม่ได้เข้าใจผิด เบี้ยรายเดือนของพวกเจ้าทั้งสี่คนล้วนเท่ากัน แต่สิ่งที่นางใช้หรือสวมใส่ ล้วนดีกว่าของพวกเจ้าอยู่มาก นางไปเอาเงินมาจากไหน? เจ้าทั้งสามจำไว้ให้ดีว่า หนานเหลียนไว้ใจไม่ได้”
หลังจากที่สาวใช้ทั้งสามคนได้ยินดังนั้น ก็ล้วนรู้สึกว่าแปลกประหลาดเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะการที่หนานเหลียนดูจะมีไมตรีกับต่อคนในเรือนของคุณหนูรองมากเป็นพิเศษ และมักจะพูดชื่นชมคุณหนูรองต่อหน้าคุณหนูใหญ่บ่อยครั้ง
ขอแค่ได้โปรยเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยลงไปแล้ว พวกนางก็จะค่อย ๆ นึกย้อนไปได้ถึงข้อผิดพลาดที่หนานเหลียนเคยเผลอแสดงออกมาก่อนหน้านี้ได้ไม่ยาก
ลวี่จู๋เอ่ยปากว่าด้วยความโกรธ "นี่มันสุนัขหมาป่าที่เลี้ยงไม่ซื่อจริง ๆ!"
ซู่อีพูดรีบพูดขึ้นว่า "คุณหนู จากนี้ไปพวกเราจะคอยระวังนางไว้เอง อย่าคิดว่าจะหลอกถามอะไรจากพวกข้าได้แม้แต่คำเดียวเจ้าค่ะ"
ดูเหมือนว่าคุณหนูจะรู้ได้ถึงความแสแสร้งจอมปลอมของคุณหนูรองแล้ว นางจึงได้รู้สึกอ่อนไหวต่อผู้คนและสิ่งของรอบ ๆ ตัวนางมากขึ้น
เฉียวชิงหวั่นเห็นว่าทั้งสามคนเริ่มคิดตามทันแล้วจึงสั่งว่า "พวกเจ้าสามคนเฝ้าประตูเอาไว้ ห้ามให้คนนอกรู้เด็ดขาดว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่"
"เจ้าค่ะ!"
หนานเหลียนที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือน ถูกคนรับใช้ที่เดินผ่านไปมาไม่น้อยมองอย่างขบขัน
คนที่เย่อหยิ่งทะนงตนอย่างหนานเหลียน มีหรือจะทนกับอับอายเช่นนี้ได้?
นางก่นด่าคนที่มองและหัวเราะเยาะนางว่า "จะมองอะไรหนักหนา?"
ยิ่งนางคุกเข่านานเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้น ทำไมตั้งแต่ที่คุณหนูฟื้นจากการล้มป่วยมา ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง? ไม่เพียงแค่ปกป้องซู่อี ยังสั่งให้นางออกมาคุกเข่าอยู่ข้างนอกนานขนาดนี้อีกด้วย?
ดูเหมือนคุณหนูรองมีเหตุผลและใจดีกับคนรับใช้มากกว่าคุณหนูใหญ่จริง ๆ
ต่อมาไม่นาน ข่าวเรื่องที่หนานเหลียนถูกลงโทษให้คุกเข่าก็แพร่ไปถึงเรือนตะวันตกอย่างรวดเร็ว
เฉียวซือโหรวดีใจมาก สั่งกับสาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า "อวิ๋นเอ๋อร์ รอเวลาที่ฟ้ามืดและไม่มีคน เจ้าไปส่งยารักษาแผลให้หนานเหลียน พูดปลอบใจห่วงใยนางเสียหน่อย ซื้อใจนางเอาไว้"
อวิ๋นเอ๋อร์พยักหน้าหงึก ๆ พลางตอบด้วยความกลัวเล็กน้อย "ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
เฉียวซือโหรวยิ้มอย่างมีเลศนัย "อัยยะ เดิมทีคิดว่าสาวใช้รอบ ๆ ตัวท่านพี่น่าจะจัดการได้ยากหน่อย แต่หนานเหลียนคนนี้ดูท่าจะเป็นคนฉลาดเฉลียว ถูกใจข้าเสียจริง"
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด โคมไฟทุกดวงภายในจวนรองเสนาบดีก็ถูกจุดให้สว่างขึ้น
ในที่สุดเฉียวชิงหวั่นก็เตรียมยาสำหรับลบรอยแผลเป็นได้สำเร็จ นางเพียงแค่ต้องใช้ยาให้ตรงเวลาเป็นเวลาหนึ่งเดือน แผลเป็นบนใบหน้าของนางก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์
ตอนนั้นเองชิวซีก็เดินมาหานางพอดี "คุณหนู จื่อเยียนมาบอกว่า ฮูหยินได้ตระเตรียมสำรับไว้เรียบร้อย รอคุณหนูไปทานข้าวเย็นด้วยกันเจ้าค่ะ"
เฉียวชิงหวั่นพยักหน้า “ได้ ไปกันเถอะ"
หลังจากทิ้งซู่อีไว้เฝ้าเรือนแล้ว เฉียวชิงหวั่นก็พาลวี่จู๋และชิวซีออกไปพร้อมกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เส้นทางการโต้กลับของยอดหมอหญิงอัปลักษณ์
รอตอนต่อไปค่าาาา...
เรื่องนี้ลงให้จบน้าค้าาา...