ซูหนานอีมองดูคนที่เดินออกมาจากรถม้า เขาสวมชุดสีแดง แสงสว่างของจันทราส่องสะท้อนกระทบกับมงกุฎสีขาว เข้ากับชุดคลุมที่เป็นสีแดงเข้มดูแล้วช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
ผิวของเขาขาวมาก ขอบตาคล้ำ แววตาดูเคร่งขรึมเด็ดเดี่ยว
กั๋วจิ้วเหย่ หลี่ชูยวี่
ตอนนี้ในหัวของซูหนานอีเกิดความคิดขึ้นมากมาย หลี่ชูยวี่ออกมาจากซอยด้านหลังจวนตระกูลโจว เขาไปจวนโจวอย่างนั้นหรือ
ซูหนานอีนึกคำพูดของกู้ซีเฉินที่เคยพูดว่า ตระกูลโจวกับท่านแม่ทัพอย่างนั้นมีเรื่องไม่ชอบพอกัน มักมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเสมอจนทำให้เสด็จพี่ของฮ่องเต้อย่างเขาปวดหัวมาก
ซึ่งตอนนั้นก็คือกู้ซีเฉิน
ตอนนั้นเขายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ เขาเป็นเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น
ตระกูลโจวกับท่านแม่ทัพใหญ่นั้นไม่ถูกกันจริงหรือ ซูหนานอีเกิดความสงสัย
อีกคนกุมอำนาจทางทหารและมีเหล่าทหารฝีมือดีอยู่ในมือ อีกคนกุมอำนาจฝ่ายท้องพระคลัง เป็นถุงเงินใหญ่ของราชสำนัก ถ้าหากทั้งสองร่วมมือกัน งั้น……
ซูหนานอีคิดได้ดังนั้นก็เก็บความสงสัยไว้ก่อน แล้วมองไปที่หลี่ชูยวี่เดินเข้าประตูไป
ที่นี่เหมือนเป็นประตูหลังของบ้านใครสักคน ซูหนานอีเอ่ย: "จิ่งเอ้อร์ ไปกันเถอะ พวกเราอ้อมไปดูข้างหน้ากัน"
คืนนี้ถือว่าได้รู้อะไรไม่น้อย ซูหนานอีที่คิดไม่ตก นางคิดว่าถ้าได้หารือกับเซี่ยหล่าน แล้วให้เขาแอบไปสืบหาเบาะแส
"จิ่งเอ้อร์ พวกเราไปหารถม้ากันเถอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ควรจะกลับบ้านได้แล้ว" ซูหนานอียิ้มให้เขายามพูด "เป็นไงบ้าง สนุกไหม"
หยุนจิ่งพยักหน้า "สนุก อยู่กับเหนียงจื่อ อะไรก็สนุก"
ซูหนานอีกระซิบข้างหูของเขา : "จิ่งเอ้อร์อย่าลืมนะ เรื่องของคืนนี้ห้ามบอกคนอื่นเป็นอันขาด ใครก็ตามก็ห้ามบอก เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคน"
หยุนจิ่งใช้มือปิดปาก ทำตาโตแล้วพยักหน้าเข้าใจ
"อีกเรื่อง ต่อไปไม่ต้องไปเที่ยวกับโจวเฉิงแล้ว ข้าไม่ชอบเขา ต่อไปถ้าเจ้าอยากไปเที่ยวให้มาหาข้า ข้าจะไปเที่ยวกับเจ้าเอง" ซูหนานอีเอ่ยกำชับ
หยุนจิ่งทำตาวาว "ดีๆ เหนียงจื่อดีจริงๆ เลย"
ทั้งสองกลับขึ้นฝั่งเดินไปหารถม้า กำลังจะออกรถ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายเหมือนคนกำลังทะเลาะกันอยู่
ซูหนานอีไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่หยุนจิ่งเหมือนจะอยากรู้ "เหนียงจื่อ พวกเราไปดูกันหน่อย ไปดูหน่อย ได้ไหม"
ซูหนานอีมองหน้าเขาที่เหมือนรอคำตอบก็ได้แต่พยักหน้าตกลง "ได้ งั้นไปกันเถอะ"
เดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นคนกำลังทะเลาะชกต่อยกันจริงๆ ด้วย มีชายสี่ห้าคนกำลังรุมตีขอทานคนหนึ่งอยู่ ขอทานคนนั้นเหมือนขาไม่ได้หนึ่งข้าง เขาหมอบลงไปมือกำกำปั้นกุมหัวไว้
ซูหนานอีเห็นอย่างนั้นก็คิ้วขมวด คนพวกนี้รังแกคนเกินไปแล้ว
สถานการณ์พลิกผันเพียงพริบตา
ทันใดนั้นชายขอทานก็จับเข้าที่ขาของหนึ่งในชายที่รุมตี มือที่กำปั้นอยู่ก็แบออกในมือของเขามีกิ่งไม่ที่มีปลายแหลม เขาลงมืออย่างรวดเร็ว แทงเข้าไปที่จุดชีพจรตรงขาของชายคนนั้น
"โอ๊ย!" ชายคนนั้นร้องโอดโอยออกมา แล้วล้มลงไป
อย่าเห็นว่าเป็นเพียงกิ่งไม้ท่อนเล็กๆ เลย แม้แต่ใช้ตียังรู้สึกเจ็บ
ขณะเดียวกัน ซูหนานอีมองไปที่หน้าของคนคนนั้น ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีเศษหญ้าติดแซมอยู่ด้วย ใบหน้าก็มอมแมม ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ล้างหน้า แต่แววตาคู่นั้นยังวาววับดุดันราวกับเป็นสัตว์ป่าที่โหดร้ายก็ไม่ปาน
ซูหนานอีรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เพียงแค่มองสายตาคู่นั้น ในหัวของนางก็เกิดภาพและความทรงจำต่างๆ ขึ้นมามากมาย จะนำคนในความทรงจำกับคนที่อยู่ตรงหน้าคิดว่าเป็นคนคนเดียวกันไม่ได้
นางอ้าปากค้าง ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกมา จนพวกคนเหล่านั้นหายตะลึงแล้วเริ่มจะลงมือกับขอทานอีกครั้ง
ซูหนานอีก็เดินเข้าไปทันที แล้วก็ลงมือต่อยคนพวกนั้นโดยไม่สนใจทันที หยุนจิ่งก็ได้พาคนเข้ามาช่วยด้วย
คนนั้นจะทนไม้ทนมือให้พวกเขารุมต่อยได้อย่างไรกัน เพียงไม่นานก็ต้องเจ็บตัวร้องหาพ่อหาแม่ รีบพยุงตัวขึ้นแล้วก็เผ่นไป
คนที่ยืนมุงก็ทยอยแยกย้ายกันไป
ลมโชยมายามค่ำคืนพัดกระทบกับใบหน้าทำให้รู้สึกเย็นสบาย แต่ซูหนานอีกลับรู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูก
นางค่อยๆ หันไปหาหยุนจิ่ง "จิ่งเอ้อร์ ให้พวกเขาขับรถม้ามาที่นี่"
"อ้อ ได้" หยุนจิ่งออกคำสั่งกับเด็กรับใช้ทันทีให้ขับรถม้ามาที่นี่ มาจอดตรงข้างหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ