"ก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ และยังเป็นคนโง่เขลา มันมิจำเป็นต้องให้รัชทายาทลงมือเองหรอกเพคะ" หยุนชางยิ้มและพูดด้วยสายตาหยอกล้อเล็กน้อย "หม่อมข้าได้ให้เฉี่ยนจั๋วขู่นาง รับรองว่านางจะสารภาพอย่างหมดเปลือกเลยเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนเห็นหยุนชางที่ยิ้มอย่างมีความสุขเยี่ยงนี้ แววตาของเขาก็เปื้อนไปด้วยความอ่อนโยน เหยียดมือออกแล้วลูบหัวหยุนชาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า ตอนนี้ชางเอ๋อร์ยิ่งอยู่ยิ่งชอบล้อเลียนสามีขึ้นแล้ว ข้าสงสารที่เจ้ายังอยู่ช่วงอยู่ไฟ มิเช่นนั้นจะจัดการเจ้าให้สาสมอย่างแน่นอน...ข้าจะนับวันรอเลย ตอนนี้เจ้าก็อยู่ไฟเลยห้าวันแล้ว…"
พอหยุนชางได้ยินคำพูด ใบหน้าของนางก็แดงก่ำทันที รีบดึงผ้าห่มและคลุมตัวเองในผ้าห่มเผยให้เห็นเพียงดวงตาอันฉลาดคู่นั้นของนาง นางกลอกตาไปมา และเสียงหายใจใต้ผ้าห่ม "ตอนนี้เป็นถึงรัชทายาทแล้ว ยังทำตัวเหลวไหลเยี่ยงนี้ ระวังฝ่าบาททรงทราบเรื่องจะปลดตำแหน่งรัชทายาทของท่านนะเพคะ เมื่อถึงเวลานั้นดูสิว่าจะไปร้องไห้ให้ใครได้อีก"
ลั่วชิงเหยียนกอดหยุนชางพร้อมกับผ้าห่มไว้ในอ้อมแขน และเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย "ชางเอ๋อร์ต่างหากเป็นเด็กขี้แย ตอนนี้เป็นถึงพระชายารัชทายาทแล้ว และอาจจะกลายเป็นฮองเฮาในอนาคต จะร้องไห้งอแงไม่ได้อีกแล้วนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าร้องไห้อีก ตกลงไหม?"
หยุนชางฟังแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก็เพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม "เป็นเยี่ยงนั้นอยู่แล้ว ข้าพระชายารัชทายาทไม่มีอะไรที่ไม่เคยประสบมาก่อน เหตุใดต้องร้องไห้ ใครร้องไห้ ใครเป็นลูกหมา!" พูดจบ ก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังแล้วล้มนอนบนเตียงนอน "ข้ากลั้นไม่ไหวแล้ว เป็นถึงท่านพ่อท่านแม่คนแล้ว ยังพูดเยี่ยงนี้ได้ ข้ากลั้นไม่ไหวอีกแล้ว" พอพูดจบก็หัวเราะอีกครั้ง
เช้าวันที่สอง ลั่วชิงเหยียนตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าท้องพระโรง เมื่อวานนี้ แม้ว่าบรรดาขุนนางจะได้รับพระราชโองการของเซี่ยหวนอวี่ที่ทรงแต่งตั้งรัชทายาท แต่เพียงเพราะ เมื่อวานนี้ลั่วชิงเหยียนไม่อยู่ในวัง บรรดาขุนนางไปเฝ้าที่จวนก็ถูกหยุดไว้ จึงไม่มีโอกาสที่จะร่วมแสดงความยินดีกับลั่วชิงเหยียนเป็นการส่วนตัว ฉะนั้นเช้านี้ ทุกคนต่างเข้าวังแต่เช้า และมีเรื่องประหลาดใจยิ่งกว่า คือไม่มีใครขอลาพัก
ตำแหน่งของว่าที่จักรพรรดิถูกกำหนดแล้ว แม้ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ลั่วชิงเหยียนจะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้สำเร็จหรือไม่ เรื่องที่ประจบประแจง คำพูดเยินยอ ก็ต้องทำอยู่ดี
ดังนั้น ทันทีที่ลั่วชิงเหยียนก้าวเข้าสู่ตำหนักหารือ ก็เห็นว่าบรรดาขุนนางเกือบทั้งหมดได้อยู่ในห้องโถงแล้ว และพวกเขาต่างก็กำลังซุบซิบกัน ประสาทหูของลั่วชิงเหยียนนั้นดีมาก เขาสามารถได้ยินคำว่า ว่าที่จักรพรรดิ และการสืบทอดบังลังก์คำเหล่านี้อย่างชัดเจน
ดูเหมือนว่ามีใครบางคนเห็นการปรากฏของลั่วชิงเหยียน ห้องโถงก็เงียบลงทันที
ลั่วชิงเหยียนเดินเข้าไป และไปถึงตำแหน่งใต้เก้าอี้มังกร บรรดาขุนนางรีบคุกเข่าลงและกล่าวว่า "ถวายพระพรองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี"
ลั่วชิงเหยียนท่าทางที่สงบนิ่ง โบกมือเบาๆ "ลุกขึ้นเถอะ"
บรรดาขุนนางต่างมองท่าทีของลั่วชิงเหยียนทั้งด้วยการโจ่งแจ้งและแอบมอง เห็นว่าลั่วชิงเหยียนยังคงมีท่าทีที่เยือกเย็น ทำได้เพียงกลืนคำแสดงความยินดีทั้งหมดที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ลงท้อง
"วันนี้มีเรื่องอะไรจะบังคมทูลหรือไม่" เสียงของลั่วชิงเหยียนที่เย็นชาดังก้องกังวานในห้องโถง
ไม่มีใครตอบรับ ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ แล้วยืนขึ้น กล่าวว่า "ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไร รถม้าของฝ่าบาทกำลังจะเข้าเมือง ท่านขุนางทั้งหลายก็ออกไปเฝ้ารับเสด็จพร้อมกับข้าเถอะ"
บรรดาขุนนางด้านล่างต่างมองหน้ากัน เมื่อครู่ลั่วชิงเหยียนไม่ได้ใช้คำว่าข้า(เปิ่นกง) แต่แทนตัวเองว่า"ข้า" นี่มันทำไมกัน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง