ตอนที่ 38
‘เปิดเรื่องด้วยวิธีการบรรยายทางอ้อมเพื่อทำให้ผู้อ่านรู้สึกคาดหวังกับพลังที่แท้จริงของตัวเอก จากนั้นขณะที่ผู้อ่านกำลังเฝ้ารอก็ใช้การแข่งขันเทนนิสที่ดุเดือดสะใจมาแสดงความสามารถที่แท้จริงของตัวเอกให้เห็นกับตา ในการแข่งขัน ตัวเอกถูกคู่แข่งแก้แค้น แต่ก็ยังเลือกใช้เทนนิสมาตอกหน้ากลับไป พล็อตนี้เขียนบรรยายลักษณะนิสัยของตัวละครไว้ในระดับหนึ่ง…’
หยางเฟิงสรุปเนื้อเรื่องนิยาย
หลังจากสรุปเรื่องเรียบร้อย เขาก็อ่านเนื้อเรื่องที่เหลือรอบหนึ่ง
เมื่ออ่านต้นฉบับความยาวหนึ่งแสนตัวอักษรจบ หยางเฟิงค้นพบอย่างประหลาดใจว่า นิยายเรื่องนี้เป็นอองซอมเบิลแคสต์[1]!
คนในทีมโรงเรียนชิงชุนต่างคนต่างบุคลิก ต่างคนต่างมีความสามารถ และเส้นเรื่องหลักก็เน้นไปที่การใช้การแข่งขันกีฬามาบรรยายการเติบโตของคนกลุ่มนี้
ในนวนิยายประเภทแฟนตาซีเยาวชน ไม่ได้มีเพียงธีมประเภทบุกฮาเร็ม และพิชิตต่างโลกเทือกนั้น
ยังมีอีกธีมหนึ่งที่เรียกว่าไล่ตามความฝันด้วย!
เพียงแต่ว่า ในตอนนี้คนที่เขียนนิยายประเภทนี้มีไม่มาก
และนิยายที่ชื่อว่าปรินซ์ออฟเทนนิสเรื่องนี้ก็เล่าถึงเรื่องของคนหนุ่มสาวซึ่งไล่ตามความฝัน และบากบั่นเพื่อให้ได้เป็นนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพ
หยางเฟิงชอบมาก!
ทว่าหลังจากนั้น หยางเฟิงก็ลังเลอยู่บ้าง
ถึงแม้ปรินซ์ออฟเทนนิสจะตรงจริตของหยางเฟิง และก็แปลกใหม่มากพอ แต่ธีมและแนวทางที่เรื่องนี้เลือกใช้นั้นออกจะเฉพาะกลุ่มจริงๆ นั่นละ มิหนำซ้ำความชอบของบรรณาธิการแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางทีเรื่องที่หยางเฟิงคิดว่ายอดเยี่ยมอาจนับว่าธรรมดาในสายตาบรรณาธิการคนอื่นก็ได้
จะดันดีไหมนะ
สับสนอยู่ราวหนึ่งนาที หยางเฟิงก็ตัดสินใจยืนหยัดในความคิดของตนเอง
แนะนำ!
หลังจากที่บรรณาธิการตรวจต้นฉบับเสร็จ ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะแนะนำผลงานที่ถูกใจได้
ผลงานซึ่งบรรณาธิการแนะนำ ก็จะถูกหัวหน้าและรองบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ตรวจสอบ
ถ้าหากหัวหน้าและรองบรรณาธิการรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้ใช้ได้ ก็หมายความว่านิยายเรื่องนี้จะได้รับการตีพิมพ์แล้ว
จะว่าไปแล้ว
ถ้าหากไม่ผ่านด่านหัวหน้าบรรณาธิการ ก็หมายความว่าผลงานของหยางเฟิงนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า มีเพียงการแนะนำผลงานได้สำเร็จจึงจะนับว่ามีผลงานในฐานะบรรณาธิการ
แน่นอนละ
ต่อให้ตั้งใจจะแนะนำ แต่หยางเฟิงก็ต้องตรวจต้นฉบับที่มีอยู่ในมือทั้งหมดให้เสร็จก่อนถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ยุติธรรมกับผู้ส่งต้นฉบับคนอื่นๆ ถึงอย่างนั้นหยางเฟิงก็มีลางสังหรณ์
ในบรรดาต้นฉบับที่เหลืออยู่ คงจะไม่มีผลงานอื่นที่ทำให้เขาพอใจได้ดีไปกว่าปรินซ์ออฟเทนนิสแล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หยางเฟิงจึงพลิกดูข้อมูลของผู้ส่งต้นฉบับเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส
จังหวะของนิยายเรื่องนี้มีชั้นเชิง ไม่รู้ว่าเป็นนักเขียนชื่อดังคนไหนอยากแก้มือแล้วปลอมตัวเข้ามาส่งต้นฉบับหรือเปล่า
นี่ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน
ในวงการอาจมีนักเขียนซึ่งเดบิวต์แล้วแต่ไม่รุ่งดังใจหวัง เปลี่ยนนามปากกาเข้ามาเข้าร่วมการประกวดของนักเขียนหน้าใหม่อย่างซูเปอร์โนวา
กระนั้นแล้วคนเหล่านี้ส่วนมากก็ไม่อาจซ่อนเร้นตัวตนได้
เพราะพวกเขาล้วนแต่มีบรรณาธิการที่คุ้นเคย ดังนั้นเมื่อซูเปอร์โนวาเปิดฉากขึ้น พวกเขาก็จะส่งต้นฉบับไปให้บรรณาธิการที่คุ้นเคยโดยตรง
อย่างไรเสียการที่นักเขียนหน้าเก่าเข้าร่วมการแข่งขันก็เป็นเกณฑ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเงียบๆ ในวงการ
เมื่อพิจารณาจากที่นิยายเรื่องนี้ไม่ได้ถูกเจาะจงส่งมาหาตนหรือบรรณาธิการคนอื่น ความเป็นไปได้ที่ปรินซ์ออฟเทนนิสจะเป็นผลงานสร้างสรรค์ของนักเขียนเก่าปลอมตัวมาก็มีไม่สูงนัก
เป็นดังคาด
ข้อมูลของผู้ส่งต้นฉบับนั้นเป็นประจักษ์ว่านี่เป็นผลงานของหน้าใหม่ หนำซ้ำนามปากกาของหน้าใหม่คนนี้ก็ไม่คุ้นตาเอาซะเลย
‘ฉู่ขวง[2]’
นามปากกาของนักเขียนนิยายมักจะพิลึกกึกกือ ฉะนั้นในสายตาของหยางเฟิง นามปากกาฉู่ขวงนับว่าปกติพอสมควร
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาค่อนข้างตกใจก็คือข้อมูลบ่งบอกชัดแล้วว่าฉู่ขวงคนนี้ถึงกับเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เด็กมหา’ลัยสมัยนี้รู้เรื่องของเทนนิสขนาดนี้เชียวเหรอ
……
ก็เหมือนกับเซี่ยนอวี๋ใน ‘แทนที่จะรอปลา มิสู้กลับบ้านไปถักแห’
หลินเยวียนเลือกใช้ชื่อนี้ในฐานะนักเขียน อันที่จริงก็เป็นสองคำที่มาจากประโยคในกลอนของหลี่ไป๋[3] ‘อันตัวข้ามีนิสัยเหมือนคนวิปลาสแคว้นฉู่ ขับร้องเพลงเสนาะเย้ยเยาะข่งชิว[4]”
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็ตรงที่บนโลกนี้ไม่มีหลี่ไป๋ ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าใจความหมายโดยนัยของฉู่ขวง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน