อลิซในแดนมหัศจรรย์ของฉู่ขวงเป็นนิทานประเภทไหน
ที่จริงแล้วเรื่องราวก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร
เด็กหญิงซึ่งมีชื่อว่าอลิซ เข้าไปยังโลกซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นแดนมหัศจรรย์ ได้รู้จักกับเพื่อนมากมาย และพบเจอกับประสบการณ์อันเหลือเชื่อและแปลกพิลึก
ในโลกนี้ ราชินีขาวและราชินีแดงเป็นอริกัน
ท้ายที่สุดแล้ว อลิซก็ช่วยเหลือราชินีขาว เอาชนะราชินีแดงได้
ท้ายที่สุดแล้ว อลิซก็ตื่นขึ้น
เธอตระหนักได้ว่าบนโลกไม่มีเวทมนตร์ สิ่งที่เรียบว่าแดนมหัศจรรย์ เป็นเพียงความฝันของเธอเอง
สำหรับเรื่องนี้ สิ่งที่ซับซ้อนอย่างแท้จริงคือความหมายโดยนัย
บทพูดในนิทานทุกประโยค พล็อตเรื่องทุกๆ ตอน คล้ายกับว่ามีความหมายพิเศษซ่อนอยู่
ผู้อ่านแต่ละคนย่อมมีความรู้สึกที่แตกต่างกันสำหรับเรื่องนี้
บางคนอ่านจบถึงขั้นสับสน
ส่วนบางคนคิดว่าตนอ่านเข้าใจ ทว่าหลังจากขบคิดอย่างละเอียดกลับไม่มั่นใจว่าตนอ่านเข้าใจจริงหรือไม่
เพราะฉะนั้นหลังจากที่นิทานเผยแพร่ออกไป คอมเมนต์ร้อนแรงอันดับหนึ่งในพื้นที่แสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์สตาร์เน็ตคือ
‘นิทานแนวไร้แก่นสารแปลกๆ ’
คอมเมนต์ร้อนแรงอันดับที่สองคล้ายกับว่าจะเป็นการตอบคอมเมนต์ที่หนึ่ง
‘น่ารักแปลกๆ สนุกแปลกๆ ไร้แก่นสารแปลกๆ ตื่นเต้นแปลกๆ ’
ความแปลกประเภทนี้ ปรากฏในหลายแง่มุมของนิทาน
เช่นดื่มยาแล้วตัวใหญ่ขึ้น…
เช่นกินคุกกี้แล้วตัวเล็กลง…
เช่นกระต่ายและแมวพูดได้…
เช่นบทสนทนาซึ่งแฝงความหมายอันลึกซึ้ง
‘ฉันควรไปทางไหน’
‘แล้วเธออยากไปไหนล่ะ’
‘ฉันไม่รู้’
‘ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่สำคัญหรอก’
‘ถ้าเธอเดินไปผิดทาง’
‘ฉันก็จะบุกเบิกทางใหม่ซะเลย’
ยกตัวอย่างเช่นประโยคอันน่าจดจำและงดงามเหล่านี้
[วิธีเดียวที่จะทำสิ่งที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ สำเร็จก็คือเชื่อว่ามันเป็นไปได้]
[ย้อนเวลากลับไปเมื่อวานนั้นเปล่าประโยชน์ เพราะตัวฉันในอดีตต่างจากฉันในวันนี้]
[คนเรามักคิดว่าเวลาคือหัวขโมย ขโมยทุกสิ่งที่เรารักไป แต่ว่า เวลาก็เป็นผู้ให้เช่นกัน ทุกๆ วันล้วนเป็นของขวัญ ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทุกวินาที]
[คนเก่งๆ เขาบ้ากันหมดนั่นแหละ]
[ในดินแดนของเรา คุณจะอยู่ในที่เดิมได้ ก็ต่อเมื่อคุณวิ่งต่อไป]
แน่นอน
ยังรวมไปถึงคำถามที่หลายคนไม่อาจหาคำตอบได้
ทำไมอีกาถึงเหมือนโต๊ะเขียนหนังสือ
แต่ไม่ต้องสงสัยเลย
ทุกคนชอบนิทานเรื่องนี้
กระแสคำวิจารณ์หนังสือเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
‘นิทานเรื่องนี้ของฉู่ขวงทั้งไร้แก่นสารทั้งน่ารัก คุ้มค่าแล้วที่ฉันเป็นผู้อ่านกลุ่มแรกที่สั่งของ ชอบเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะดำเนินเรื่องได้ยอดเยี่ยมมาก แต่เพราะประโยคสุดท้าย บางทีหลายปีหลังจากนี้เด็กผู้หญิงจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ฉันเองไม่ใช่เด็กผู้หญิงซึ่งป่วยด้วยกลุ่มอาการอลิซในแดนมหัศจรรย์อีกต่อไป แต่อย่างน้อยฉันก็เคยผ่านเรื่องราวอันงดงาม’
‘ขี้เกียจและเป็นอิสระ ฉันชอบความสบายใจไร้กังวลแบบนี้’
“‘มีบางครั้งผมมักฝันร้าย ในฝันมีคนจะฆ่าผม แต่ผมไม่กลัวเลย เพราะผมรู้ว่านี่เป็นแค่ความฝัน ผมจะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ที่ผมอยากตื่น’
‘ที่จริงอยากแนะนำนิทานเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่อ่าน’
‘ฉันก็คิดเหมือนกันว่านี่เป็นนิทานสำหรับผู้ใหญ่ แก่นแท้ของความฝันคือความไร้แก่นสาร ความงดงามปกปิดการเสียดสีสุดโต่ง อัปลักษณ์หรืองดงาม หรือแม้แต่ดีงามและเลวทรามล้วนสัมพันธ์กัน ขัดแย้ง ต่อต้าน และเป็นหนึ่งเดียว’
‘ทำไมอ่านนิทานเรื่องนี้แล้วรู้สึกอึดอัด?’
‘ที่จริงแล้วไม่ได้ลึกลับขนาดนั้นนะ ผมรู้สึกว่านิทานเรื่องนี้ของฉู่ขวงกำลังบอกเราว่าอย่าถูกครอบงำโดยโลกภายนอก พยายามยืนหยัดกับสิ่งที่เราคิด เดิมทีอลิซเป็นคนที่กล้าจินตนาการ ไม่คุ้นเคยกับกรอบเกณฑ์ต่างๆ ในเวลานั้น อลิซช่วงแรกเป็นคนแบบนั้น แต่หลังจากที่พ่อเสีย เธอก็สูญเสียจุดเด่นด้านความกล้าหาญนี้ไป จนกระทั่งมายังแดนมหัศจรรย์จึงค้นพบตัวเองอีกครั้ง’
‘…’
ต้นฉบับนั้นขาดการเล่าเรื่องราว และให้ความรู้สึกค่อนข้างอ่อนแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน