“คุณมาทำไมคะ?”
“เขามาได้ ทำไมผมจะมาไม่ได้ครับ?”
ลู่จือสิงชี้ไปที่ฉีซิ่วหรานด้วยใบหน้าที่เย็นชา
ฉันรีบวางช้อนลง ลุกขึ้นกะจะไล่เขาออกไป แต่ฉีซิ่วหรานกลับพูดสวนขึ้นมา: “ซูยุ่น หาได้ยากยิ่งที่ประธานลู่จะมา เราเองก็ยังพอมีอาหารเหลือเฟืออยู่นะครับ”
“‘เรา’ อะไร คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับซูยุ่น?”
พอฟังคำพูดของลู่จือสิงแล้วฉันก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาเลย: “ลู่จือสิง นี่มันบ้านของฉันนะคะ!”
เขาส่งเสียง ฮึ คำหนึ่งออกมาอย่างเย็นๆ: “เป้ยเปยเป็นลูกของผม!”
ฉันไม่อาจจะโต้เถียงออกมาได้แม้แต่คำเดียว อีกทั้งในเวลานี้เป้ยเปยก็กำลังจ้องมองลู่จือสิงอยู่ด้วย
ลู่จือสิงพูดอย่างได้คืบจะเอาศอกจากนั้นก็ลงไปนั่งข้างๆ เป้ยเปย: “สมเป็นลูกชายพ่อจริงๆ มองพ่อไม่ห่างตาเลย”
มุมปากฉันกระตุก เอาตัวเข้าไปขวางเป้ยเปยไว้ สุดท้ายฉันก็อดทนไม่ชวนลู่จือสิงทะเลาะด้วยอารมณ์หุนหันพลันแล่นสำเร็จ
“ประธานลู่ครับ”
ฉีซิ่วหรานเข้าไปในห้องครัวแล้วหยิบตะเกียบและช้อนออกมา เขายื่นมือไปรับมาอย่างหน้าด้าน: “ขอบคุณครับ”
ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดเยาะเย้ยออกไปว่า: “คุณไม่มีมือหรือไงคะ ถึงต้องให้คนเขาช่วยหยิบให้?”
เขามองฉันด้วยสีหน้าที่เย็นชา แต่ฉันไม่มองเขา หันไปมองฉีซิ่วหรานแทน: “เปิดฉากกันเถอะค่ะฉีซิ่วหราน”
เพราะการปรากฏตัวของลู่จือสิง ฉันกับฉีซิ่วหรานต่างก็ไม่พูดไม่จา ภายในห้องนั่งเล่นจึงเงียบมาก มีเพียงเสียงรับประทานอาหารเท่านั้น
ฉันกินอยู่ดีๆ ในชามก็มีเห็ดเพิ่มขึ้นมาสองสามชิ้น
ฉันหันไปมองด้านข้างก็เห็นตะเกียงของลู่จือสิงยังไม่ถูกดึงกลับไป
เห็นฉันมองมา เขาจึงมองมาที่ฉัน: “คุณชอบทานเห็ดไม่ใช่หรือครับ?”
ฉันส่งเสียง ฮึ ขึ้นมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ตีสีหน้าเย็นชาคีบเห็ดในชามตัวเองกลับไปวางบนโต๊ะอาหาร: “นั่นมันเมื่อก่อนค่ะ!”
ฉันพูดจบ สีหน้าของลู่จือสิงก็มืดมนลง
พอเห็นเขาเสียหน้า ฉันก็สบายใจขึ้นหลายส่วนเลย
กินๆ อยู่ดีๆ เป้ยเปยก็ร้องไห้ขึ้นมา
ฉันรู้ว่าเป้ยเปยหิวแล้ว ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นไปชงนม กลับถูกลู่จือสิงรั้งเอาไว้
“คุณจะทำอะไร?”
“เป้ยเปยร้องไห้แล้ว!”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉัน คงคิดว่าฉันไม่สนใจเป้ยเปยแน่ๆ
ฉันเอือมจะคุยกับเขาจึงยกมือไปปัดมือเขาออก จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องครัวไปชงนม
“ซูยุ่น!”
“ประธานลู่ เป้ยเปยหิวแล้ว ซูยุ่นเลยจะไปชงนมครับ!”
นึกไม่ถึงว่าฉีซิ่วหรานจะมีความอดทนที่จะอธิบายให้ลู่จือสิงฟัง ถ้าเป็นฉันล่ะก็ คงไม่คิดจะพูดแม้แต่คำเดียว
พอเป้ยเปยอิ่มก็เตรียมจะนอนแล้ว แต่ความเคยชินของเขาก็คือ ก่อนที่เขาจะนอนจะต้องมีคนคอยกอดและเขย่าตัวเขาไปด้วย และต้องเขย่าตัวเขาจนกว่าจะหลับถึงจะหยุดได้
ฉันและฉีซิ่วหรานเลี้ยงดูเป้ยเปยมาจนทุกวันนี้ เราต่างก็รู้ถึงความเคยชินของเป้ยเปยกันดี
ฉันยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ฉีซิ่วหรานก็ลุกไปแล้ว เขาก้มศีรษะมามองฉัน: “ผมไปเองครับ”
ฉันพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่ไม่คิดว่าลู่จือสิงที่อยู่ด้านข้างจะกดมือของฉีซิ่วหรานเอาไว้: “ฉีซิ่วหราน คุณจะทำอะไร?”
ฉันตีมือของลู่จือสิง: “เป้ยเปยจะนอนค่ะ”
“จะนอนแล้วทำไมจะต้อง——”
ฉันรู้ว่าเขาจะพูดอะไร จึงพูดถากถางเขาออกไป: “มันเป็นความเคยชินของเขานะค่ะ ลู่จือสิง คุณไม่รู้ก็อย่าพูดเลยดีกว่าค่ะ”
เมื่อถูกฉันพูดถากถางไปที สีหน้าของลู่จือสิงก็พอจะพูดได้ว่าแย่มากราวกับฉันไปติดหนี้เขาไว้หลายร้อยล้านอะไรแบบนั้นเลย
ทานกันพอสมควรแล้วฉันก็เตรียมตัวเก็บข้าวของ ผลก็คือ ลู่จือสิงที่อยู่ด้านข้างเอามือมากดมือฉันอีกครั้ง: “ผมยังทานไม่เสร็จ”
ฉันไม่คิดจะให้เขาอยู่ที่บ้านฉันเลยแม้แต่นิด จึงไม่หยุดขยับการเคลื่อนไหวบนมือ: “ฉันทานอิ่มแล้วค่ะ ถ้าคุณยังทานไม่อิ่ม รบกวนกลับไปทานแล้วกันนะคะ”
“ซูยุ่น!”
เขาลุกขึ้นยืนจากนั้นก็มองหน้าฉัน
ฉันเลิกตาขึ้นไปมองเขา: “นี่เป็นบ้านของฉัน ฉันไม่ต้อนรับคุณ เชิญกลับค่ะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้