ฉันหันไปมองจงฮุ่ยหรานแว๊บหนึ่ง เม้มริมฝีปากเดินตามลู่จือสิงแล้วจากไป
ตกดึก เป้ยเปยนอนหลับไปแล้ว
ฉันเดินออกมาจากในห้องก็พบลู่จือสิงยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง
สายลมพัดผ่านตัวเขาตลอดเวลา จู่ๆ ฉันก็นึกถึงตอนที่เจอเขายืนอยู่ริมแม่น้ำเมื่อหลายวันก่อน เขาก็เป็นแบบนี้
ไม่นานนัก ในใจฉันก็เจ็บปวดสุดจะทน
ฉันเดินก้าวไปข้างหน้าจากนั้นก็สวมกอดเขา: “ลู่จือสิง”
เขากดมือที่กำลังกอดเขาเอาไว้แนบอก: “ซูยุ่น คุณจะอยู่เคียงข้างผมตลอดไปได้มั้ยครับ?”
ฉันอ้าปากค้าง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลายวันต่อมา ลู่จือสิงก็ไม่พูดเรื่องแต่งงานใหม่อีก และอารมณ์เขาก็แย่มาก ฉันพยายามพูดปลอบโยนเขาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงต้องปล่อยให้เขาค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาด้วยตัวเอง
ฉันลางานเอาไว้สิบวัน ตอนนี้เลยมาสองวันแล้ว ฉันจะต้องกลับไปเมือง D เพื่อรายงานตัวแล้วถือโอกาสแจ้งลาออกไปด้วยเลย
สองสามวันมานี้ฉันคิดได้อยู่หลายเรื่อง ชีวิตคนไม่แน่นอน เราไม่รู้หรอกว่าวินาทีถัดไปจะเกิดอะไรขึ้น
ฉันกับลู่จือสิงเสียเวลากันมาสามปีแล้ว ในเมื่อตอนนี้ฉันยังรักเขาอยู่ เขาเองก็ยังรักฉันเช่นกัน ฉันก็ไม่ควรปล่อยให้มันอีนุงตุงนังให้เสียเวลากันอีกต่อไป
อีกทั้งฉีซิ่วหรานก็เคยบอกเอาไว้ว่า ให้เดินตามหัวใจของตัวเองก็พอ
แล้วตอนนี้ฉันก็อยากจะยุติสภาพอย่างที่เป็นอยู่นี้แล้วจริงๆ
แต่ทว่าลู่จือสิงออกไปทำงานนอกสถานที่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เดิมทีฉันจะบอกเขาเรื่องที่จะกลับเมือง D แต่มาคิดๆ ดู ถ้าโทรศัพท์ไปก็น่าละอายเกินไปอีก ในเมื่อฉันเองก็ไม่อาจเอ่ยปากบอกเขาได้ ก็เลยตัดสินใจกลับไปเมือง D เพื่อจัดการเรื่องลาออกให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับมา
คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจที่จะพูดหลังจากจัดการธุระทางนั้นให้เสร็จเสียก่อน
ดังนั้นฉันจึงจองตั๋วเครื่องบินของฉันกับเป้ยเปย บินกลับเมือง D ในวันพรุ่งนี้ ไปถึงนั่นก็คงราวๆ สามโมงกว่า เอง ฉันยังไม่ได้ติดต่อป้าฝาน จึงนัดให้เขามาหาในวันพรุ่งนี้เลย
อีกเรื่องหนึ่งถ้าฉันออกจากเมือง D ก็ต้องจัดการเรื่องห้องให้เรียบร้อย จึงอยากทำเรื่องโอนอะไรให้ชัดเจนในทีเดียว
วันต่อมาฉันไปรายงานตัวที่บริษัทแต่เช้าตรู่ และถือโอกาสยื่นใบลาออก
แต่เดิมบริษัทก็ขาดคนอยู่แล้ว ฉันจึงต้องทำงานอีกหนึ่งเดือนถึงจะออกได้
จะว่าไปเรื่องนี้ฉันก็ทำไม่ถูก จู่ๆ มาบอกจะลาออก ไม่ให้หัวหน้าได้เตรียมใจบ้าง ฉันจึงไม่อาจจะมีความคิดเห็นอันใดได้เลย
แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ไม่ใช่หนึ่งปีเสียหน่อย
“ซูยุ่น ทำไมจู่ๆ เธอถึงลาออกล่ะ?”
ฉันเพิ่งจะสะสางแผนงานเสร็จไปงานหนึ่ง กำลังคิดจะยื่นเส้นสายบริเวณซี่โครง หลี่เจียนีก็เข้ามาถามฉัน
ฉันตอบยิ้มๆ ไปว่า: “ฉันอยากจะกลับเมือง A แล้ว”
เธอมองฉันแล้วก็ขมวดคิ้ว: “กลับเมือง A เธอหมายความว่าอย่างไรกันเนี่ย?”
“เดิมทีฉันเป็นคนเมือง A ก่อนหน้านี้ที่มาเมือง D ก็เป็นเพราะเรื่องส่วนตัว ตอนนี้เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป ฉันจึงต้องกลับไปได้แล้ว”
“เธอพูดจาซับซ้อนจัง ฉันฟังไม่เข้าใจเลย”
ฉันกำลังจะจากไปแล้ว และไม่อยากจะปิดบังอีกต่อไป จึงพูดเรื่องของฉันและลู่จือสิงออกไป สุดท้ายฉันคิดไปคิดมาก็เสริมไปอีกหนึ่งประโยคว่า: “เรื่องนี้เธออย่าได้พูดออกไปนะ”
แม้ว่าหลังจากนี้ฉันอาจได้เจอปัญหาแบบนี้ แล้วก็คงปิดไม่มิดอยู่ดี แต่ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะประกาศให้รู้กันทั่วหน้าแบบนั้น
“เธอ เธอ——” หลี่เจียนีมองฉันด้วยสีหน้าตกตะลึง: “ซูยุ่น เธอก็จริงๆ เลยนะ ปิดซะมิดเชียว! ครั้งก่อนตอนเราออกไปทำงานนอกสถานที่กัน ฉันถามเธออยู่ว่าเขาปิ๊งเธอหรือเปล่า ผลคือเธอบอกกับฉันด้วยสีหน้าเย็นชาว่าฉันคิดมากเกินไป! เธอดู ตอนนี้กลับมาบอกกับฉันว่า เขาคือ——ของเธอ”
“คุณพระ เธอนี่จริงๆ เลย ไม่รู้จักแยกแยะข่าวสารบ้าง!”
เขารีบเอาสองมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง การแสดงออกดูเกินจริงไปมาก
ฉันรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง: “เรื่องนี้มันน่าตกตะลึงจริงๆ หรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้