เขามองฉันด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ดึงฉันเข้าไปหาแล้วก้มลงจูบ
ฉันนึกขึ้นมาได้ว่านี่คือหน้าประตูทางเข้าบริษัท ดัวยกลัวว่าเพื่อนร่วมงานจะมาเห็นเข้า จึงตีใส่เขา
โชคดีที่เขาปล่อยฉันโดยเร็ว พอได้ยินเสียงปลดล็อกประตู ฉันก็รีบผลักประตูกระโดดลงจากรถ จากนั้นก็วิ่งเข้าบริษัทโดยไม่กล้าหันกลับไปมอง
“ซูยุ่น ทำไมวิ่งมาเร็วแบบนี้ มีผีไล่ตามหลังเธอหรือ?”
เมื่อฉันมาถึงประตูลิฟต์ หลี่เจียนีก็มาจับมือฉันในทันใด
ฉันนึกว่าเป็นลู่จือสิงเสียอีก พอเห็นเป็นเขาฉันก็ผ่อนลมหายใจออกมา แล้วโบกมือพูดไปด้วยอาการเหนื่อยหอบ: “ไม่มีอะไรหรอก ฉันดูเวลาผิด เลยนึกว่าสายแล้ว”
“ฉันก็ว่าอยู่ เมื่อกี้เรียกเธออยู่ข้างหลังตั้งนาน เหมือนเธอจะไม่ได้ยินอย่างนั้นล่ะ”
ฉันยิ้มแก้เก้อออกมา จากนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ด้วยกลัวหลี่เจียนีจะถามขึ้นมาอีกจนฉันต้องบอกความจริงออกไป
ลู่จือสิงช่างไร้ยางอายเสียจริง รถจอดอยู่หน้าประตูทางเข้าบริษัท ไม่รู้จะมีคนเห็นหรือเปล่า เกิดมีคนเห็นขึ้นมา เขาจะพูดถึงฉันอย่างไร
ตลอดทั้งเช้าฉันอยู่ที่บริษัทด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
โชคดีวันนี้ทั้งวันฉันไม่ได้ยินข่าวลืออะไรที่เกี่ยวกับฉันและลู่จือสิง จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พอถึงเวลาหกโมงเย็นก็ได้เวลาเลิกงาน
“ซูยุ่น เย็นนี้เราไปดูหนังกันมั้ย? ได้ยินว่ามีหนังเข้าใหม่อยู่เรื่องหนึ่งสนุกมาก
ฉันส่ายศีรษะอย่างยิ้มๆ: “ฉันว่าจะกลับบ้าน เธอไปกับเสี่ยวหลินเถอะ”
หลี่เจียนีได้ยินเข้าก็เบะที่มุมปาก: “ฉันไม่เคยเห็นเธอไปเดินเล่นหรือดูหนังกับฉันซักครั้งเลยนะ”
แท้จริงแล้วตั้งแต่ฉันเข้าบริษัทมาได้แปดเดือนกว่า ฉันไม่เคยรับนัดกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวเลย
ฉันได้แต่กล่าวคำขอโทษด้วยรอยยิ้ม: “บ้านฉันมีธุระ เธอก็รู้อยู่”
หลี่เจียนีเป็นคนเดียวในบริษัทที่รู้เรื่องของฉันกับลู่จือสิงและเรื่องที่ฉันมีลูกชายแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากพูดชัดเจนมากนัก
แต่ทว่าเธอก็เข้าใจจึงโบกมือใส่: “ก็ได้ เธอกลับไปเถอะ อย่าลืมนะ วันหลังเธอจะต้องพาฉันไปเจอให้ได้ล่ะ!”
เจออะไรเหรอ?”
เวลานี้ได้มีเพื่อนร่วมงานอีกคนโผล่เข้ามา ฉันตกใจเล็กน้อย ยังดีที่หลี่เจียนีไวพริบดี: “ไม่มีอะไร เย็นนี้ฉันกับเสี่ยวหลินจะไปดูหนัง เธอจะไปด้วยมั้ย?”
“ไปซิไป!!”
พวกเขาพูดเสร็จก็เดินไป แล้วหลี่เจียนีก็หันหลังมากระพริบตาให้ฉัน
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วรีบเก็บข้าวของและปิดคอมเตรียมจะกลับบ้าน
เมื่อเดินออกมาจากประตูทางเข้าบริษัท ฉันก็เห็นรถของลู่จือสิงจอดอยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้าม
เมื่อเห็นรถฉันก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ลู่จือสิงทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว ตัวเขาไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าฉันถูกเพื่อนร่วมงานเห็นเข้า บวกกับเรื่องที่ลาออกไปเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่รู้จะเอาฉันไปพูดอย่างไรบ้าง!
คิดแล้วฉันก็รีบวิ่งไปหา
“รีบวิ่งมาทำไมหรือครับ?”
เห็นเขาเดินเข้ามาหา ฉันก็รีบผลักเขาขึ้นรถ: “คุณอย่าออกมาซิคะ รีบเข้าไปในรถเลยค่ะ!”
ฉันก้มศีรษะแล้วก็ผลักเขาเข้าไปพร้อมกัน เพราะกลัวจะถูกคนพบเห็นฉันและลู่จือสิงตามท้องถนนเข้า
ฉันผลักเขาขึ้นรถ จากนั้นก็อ้อมไปขึ้นที่ฝั่งข้างคนขับ คาดเซฟตี้เบลแล้วก็ถามเขาอย่างไม่ปิดบังไปว่า: “คุณไม่มีธุระอะไรแล้วมาที่ประตูทางเข้าบริษัทของพวกเราทำไมล่ะคะ? เกิดมีใครมาเห็น——”
“ซูยุ่น ผมไม่เป็นที่ต้อนรับขนาดนี้เลยหรือครับ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นมาถึงเห็นว่าสีหน้าของลู่จือสิงดูแย่มาก
สายตาของเขาที่มองมาทางฉันเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง พอได้ยินสิ่งที่เขาถาม ฉันก็เกิดความรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ นิ้วมือสั่นไปหมด: “ไม่ ไม่ใช่นะคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้