เห็นแบบนี้ฉันก็รู้ทันทีว่าลู่จือสิงกำลังเข้าใจฉันกับชวี่ชิงหนานผิด
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับชวี่ชิงหนาน ถ้าเกิดจะต้องบอกให้ใครรู้ฉันก็อยากปรึกษาเขาก่อน ดังนั้นฉันจึงยังอธิบายให้ลู่จือสิงฟังตอนนี้ไม่ได้
คิดได้ดังนั้นฉันจึงพูดเลี่ยงๆ ไปว่า “คุณกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันกับเขาไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่ๆ เอาละ คุณรีบไปทำงานได้แล้ว”
เขาทำเสียงฮึอย่างเย็นชาแต่ก็เอื้อมมือมารั้งฉันเขาไปหา ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาจูบฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว “ดีแล้วที่ไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ไม่อย่างนั้นคุณตายแน่ ซูยุ่น!”
เขาจูบฉันอย่างนุ่มนวล ฉันไม่ได้คิดมากในสิ่งที่เขาพูด ทำเพียงพยักหน้ารับ “ฉันเข้าใจแล้ว คุณรีบไปทำงานเข้าเถอะ คุณลู่จอมหึง”
เขายกมือขึ้นหยิกแก้มฉัน “ผมไปละ เย็นนี้จะกลับมากินข้าวด้วย”
เมื่อนึกถึงตอนเย็นฉันจึงเอ่ยเสียงดังๆ ว่า “เย็นนี้ฉันจะจัดอาหารไว้ชุดใหญ่เลย”
ลู่จือสิงลูบจมูกตัวเองเก้อๆ “ผมไปทำงานละ”
ฉันอดหัวเราะไม่ได้ขณะที่มองแผ่นหลังของคนที่รีบเดินหนีไป
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด
แต่พอตกดึก “เด็ก” คนนี้ก็ทรมานร่างกายของฉันจนยับเยินนับครั้งไม่ถ้วน พอขอให้หยุด เขาก็จะยกคำพูดที่ฉันพูดเมื่อเช้ามาอ้างทุกครั้ง
สุดท้ายฉันเกือบหน้ามืดเป็นลม แล้วปล่อยให้ลู่จือสิงจัดการส่วนที่เหลือต่อด้วยตัวเขาเอง
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ... ลู่จือสิงบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์เราสามคนพ่อแม่ลูกไม่เคยออกไปไหนพร้อมหน้าพร้อมตากันเลย ประจวบกับที่ของกินในตู้เย็นเริ่มร่อยหรอพอดี
ตอนนี้เป้ยเปยก็กำลังโตวันโตคืนจนเสื้อผ้าเริ่มใส่ไม่พอดี ฉันไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้เป้ยเปยมาเดือนกว่าแล้ว จึงตั้งใจว่าจะไปเดินเลือกซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าสักหน่อย
ก่อนหน้านี้ฉันต้องดูแลเป้ยเปยคนเดียว รถก็ไม่มี พอพาเป้ยเปยออกไปข้างนอกก็กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ออกไปไหนบ่อยนัก
ดังนั้นการที่ฉันคนเดียวต้องดูลูกไปด้วยซื้อของไปด้วยด้วยจึงเป็นอะไรเหนื่อยมาก
ตอนนี้เมื่อลู่จือสิงเสนอมา ฉันจึงตอบตกลงโดยอัตโนมัติ
ตอนเป้ยเปยยังเด็กกว่านี้ฉันเคยพาเขาไปซุปเปอร์มาร์เก็ตบ่อยๆ แต่พอเริ่มเดินได้ฉันก็พาเขาออกไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เป้ยเปยเองก็ไม่ชอบออกไปไหนมากนัก แต่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขากลับชอบออกไปเล่นข้างนอกมากๆ เมื่อไรที่เห็นว่าฉันพอมีเวลาก็จะอ้อนให้ฉันพาออกไปเล่นในละแวกนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะมีลู่จือสิง ฉันคงไม่กล้าพาเป้ยเปยออกไปข้างนอกเพราะอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้
ฉันมองลู่จือสิงที่กำลังถูกเป้ยเปยวิ่งนำไปข้างหน้าแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะได้มีวันเวลาดีๆ แบบนี้
ขณะที่ฉันมองพวกเขาสองคนพ่อลูกและกำลังจะวิ่งตามไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อฉัน
“ซูยุ่น?”
น้ำเสียงนี้คุ้นหูฉันมาก แต่ถึงอย่างจะคุ้นอย่างไรฉันก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นเสียงของใคร
ฉันชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปมอง ไม่คิดเลยว่าคนคนนั้นจะเป็นหลี่ลี่ชิง และก็ไม่แปลกใจเลยที่เห็นหลินเจี้ยนเฟิงยืนอยู่ข้างๆ เธอ
หลี่ลี่ชิงจูงมือหลินเจี้ยนเฟิงเข้ามาพร้อมกับมองฉันอย่างลำพองใจ “คิดว่าฉันมองผิดไปซะอีก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะเป็นคุณ!”
ฉันแสยะยิ้ม “ใช่ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้ คุณหลี่ คุณหลิน”
ดูเหมือนหลี่ลี่ชิงจะฟังน้ำเสียงที่แปลกแยกห่างเหินของฉันไม่ออก ยังพูดต่อไปว่า “คุณอยู่เมือง D ไม่ใช่หรือคะคุณซู ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? คุณหลี่บอกว่าแฟนของคุณซูเป็นคนเมือง D คุณมาเที่ยวที่นี่กับแฟนของคุณหรือ?”
ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าแค่ทำงานร่วมกันไม่กี่วัน ทำไมหลี่ลี่ชิงถึงได้จองเวรฉันอย่างกับว่ากับฉันไปขุดหลุมฝังศพของครอบครัวของขึ้นมาเธออย่างไรอย่างนั้น
ทำไมฉันจะฟังไม่ออกว่าเธอกำลังเหน็บแนมฉัน แต่ฉันไม่อยากจะโต้คารมกับเธอเลยสักนิด “เดิมทีฉันเป็นคนเมือง A ก็ไม่เห็นแปลกถ้าฉันจะอยู่ที่นี่ แค่นี้ก่อนนะคะ ลูกชายของฉันอยู่ทางนั้น ฉันต้องไปแล้ว”
“ลูกชาย? คุณมีลูกแล้วหรือ?”
หลี่ลี่ชิงมองฉันอย่างประหลาดใจราวกับว่าการที่ฉันมีลูกชายเป็นเรื่องน่าตกใจมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้