บอกตามตรงว่าฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะหลุดพูดประโยคนี้ออกมา พอได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะ
แต่พอคิดๆ แล้วถ้าหัวเราะออกมาตอนนี้คงไม่ดีเท่าไร
คิดได้ดังนั้นฉันจึงอดกลั้นเอาไว้
อย่างไรก็ตามสีหน้าของหลี่ลี่ชิงดูแย่มาก เธอโกรธจนหน้าเขียว
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงข่มใจพูดกับเราว่า "ประธานลู่ช่างใจกว้างจริงๆ ค่ะ"
"ไม่กว้างเท่าคุณหลี่หรอกครับ"
เขาพูดพลางจูงมือฉันไป "เราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจคนอื่นเลย"
ลู่จือสิงไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่ฉันแน่ใจว่าหลี่ลี่ชิงต้องได้ยินแน่ๆ
ฉันหันกลับไปมองหลี่ลี่ชิงก่อนจะเดินจากไปก็เห็นเธอยืนโกรธจนหน้าเขียวอยู่ตรงนั้น
ฉันยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ คนอย่างหลี่ลี่ชิงสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างนี้จึงจะเหมาะสม
ต้องขอโทษตัวเองที่ใจอ่อน ในเมื่อเธอไม่ต้องการรักษาหน้าของตัวเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเธอ
ก่อนหน้านี้เธอพุ่งเป้ามาที่ฉันครั้งแล้วครั้งเล่าจนฉันรู้สึกแย่มาก ถ้าไม่ใช่เพราะต้องคำนึงถึงภาพรวมฉันคงตอกกลับเธอไปนานแล้ว
ไม่คิดว่าเธอจะยังหาเรื่องโจมตีฉันทั้งที่เรื่องมันผ่านมานานกว่าครึ่งปีแล้ว
ตลกดีเหมือนกัน
แล้วฉันก็เลิกคิดถึงเรื่องของหลี่ลี่ชิง
ฉันพาเป้ยเปยออกมาเลือกซื้อเสื้อผ้าเป็นครั้งแรก เขามองตาไม่กระพริบ พอเจอชุดที่ชอบก็ดึงชายเสื้อของลู่จือสิงแล้วเงยหน้าทำตาน่าสงสารใส่เขาโดยไม่ได้พูดอะไร
ฉันกำลังจะบอกว่าไม่ต้องซื้อเพิ่มอีก แต่ลู่จือสิงก็สั่งให้พนักงานหยิบชุดลงมาเสียแล้ว
ฉันยกมือขึ้นกุมหน้าผากเมื่อเห็นเสื้อผ้ามากมายในมือของพนักงาน ฉันไม่เคยเห็นลู่จือสิงใช้จ่ายสุรุ่ยรุร่ายอย่างนี้มาก่อน จึงรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วรั้งเขาไว้ "พอแล้วประธานลู่ มันสิ้นเปลืองเกินไป เป้ยเปยโตเร็วมาก เดี๋ยวก็ต้องมาซื้อใหม่อีก"
ลู่จือสิงกำลังมีความสุขจนไม่ฟังฉันเลย "ไม่เป็นไร จะได้ให้เป้ยเปยใส่เสื้อผ้าไม่ซ้ำกันเลยทั้งเดือน"
"..."
ฉันรู้สึกหงุดหงิด แต่เพราะทำอะไรไม่ได้จึงปล่อยให้สองพ่อลูกเดินดูกันเอง ส่วนฉันไปหาที่นั่งพักแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาหางานเพื่อเตรียมยื่นใบสมัคร
หลังจากรอมานานกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดลู่จือสิงก็จูงเป้ยเปยกลับมา
ฉันขมวดคิ้วเมื่อเห็นกองเสื้อผ้าบนเคาน์เตอร์แล้วรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นออกไปครึ่งหนึ่ง "พวกนี้ไม่เอาแล้วค่ะ"
ลู่จือสิงยื่นมือเตรียมจะหยิบกลับไป แต่ฉันหันไปถลึงตาใส่เขา "ลู่จือสิง คุณอย่าใช้จ่ายสุรุ่ยรุส่ายอย่างนี้สิ”
เขาเม้มริมฝีปากแล้วถอนมือออกไปในที่สุด
ลู่จือสิงเรียกฉันเมื่อข้างหน้าเป็นไฟแดง "ซูซู"
ฉันกำลังก้มหน้าคัดเลือกบริษัทอยู่ พอได้ยินเขาเรียกจึงทำแค่ส่งเสียงขานรับสั้นๆ โดยไม่เงยหน้ามองเขา
"ผมกับคุณมีเรื่องต้องคุยกัน”
ฉันเงยหน้าขึ้นเพราะสิ่งที่เขาพูด "ถ้าคุณอยากคุยเรื่องที่ซื้อของให้เป้ยเปยละก็ เราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก... เป้ยเปยยังเด็กมาก ฉันรู้ว่าคุณอยากจะเอาใจลูก แต่คุณต้องปลูกฝังเรื่องการใช้จ่ายอย่างถูกต้อง จะปล่อยให้เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการตั้งแต่ยังเด็กไม่ได้... ฉันรู้ว่าคุณมีเงินเหลือเฟือ แต่ตอนนี้เป้ยเปยโตเร็วมาก เสื้อผ้าชุดละเป็นพันแต่ใส่แค่ครั้งเดียว คุณไม่เสียดายเงิน แต่ฉันเสียดายเสื้อผ้า”
เขาขยับปากเหมือนจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่พูด
หลังจากมองเขาอยู่ครู่หนึ่งฉันก็ถอนหายใจ "ฉันรู้ว่าคุณต้องการชดเชยให้เป้ยเปย แต่ต้องไม่ใช่การชดใช้ด้วยเงินทอง แค่คุณอยู่กับเป้ยเปยตอนนี้ เป้ยเปยก็มีความสุขมากกว่าเด็กคนไหนๆ แล้ว อย่างน้อยเราสองคนก็มีเวลาอยู่กับเขาแทนที่จะสนใจแต่เรื่องงาน"
รถสตาร์ทขึ้นและเขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับฉันว่า "คุณพูดถูก"
ฉันเข้าใจว่าลู่จือสิงอยากชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่กับเป้ยเปยตอนเขาเกิด และเพราะเขายอมไม่ได้ที่เห็นเป้ยเปยกับฉีซิ่วหรานมีความผูกพันกันมาก
ฉันไม่เคยเห็นเขาทำตัวเป็นเด็กขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้จึงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เราไม่ได้พบฉีซิ่วหรานมาเกือบครึ่งปีแล้ว ด้วยอายุของเป้ยเปยตอนนี้ เจอกันคราวหน้าฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้ยเปยจะจำอาฉีของเขาได้ไหม
หลังจากช้อปปิ้งตลอดช่วงบ่าย เป้ยเปยกลับมาถึงก็เข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้