หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 178

บอกตามตรงว่าฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะหลุดพูดประโยคนี้ออกมา พอได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะ

แต่พอคิดๆ แล้วถ้าหัวเราะออกมาตอนนี้คงไม่ดีเท่าไร

คิดได้ดังนั้นฉันจึงอดกลั้นเอาไว้

อย่างไรก็ตามสีหน้าของหลี่ลี่ชิงดูแย่มาก เธอโกรธจนหน้าเขียว

ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงข่มใจพูดกับเราว่า "ประธานลู่ช่างใจกว้างจริงๆ ค่ะ"

"ไม่กว้างเท่าคุณหลี่หรอกครับ"

เขาพูดพลางจูงมือฉันไป "เราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจคนอื่นเลย"

ลู่จือสิงไม่ได้พูดเสียงดังนัก แต่ฉันแน่ใจว่าหลี่ลี่ชิงต้องได้ยินแน่ๆ

ฉันหันกลับไปมองหลี่ลี่ชิงก่อนจะเดินจากไปก็เห็นเธอยืนโกรธจนหน้าเขียวอยู่ตรงนั้น

ฉันยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ คนอย่างหลี่ลี่ชิงสมควรได้รับการปฏิบัติอย่างนี้จึงจะเหมาะสม

ต้องขอโทษตัวเองที่ใจอ่อน ในเมื่อเธอไม่ต้องการรักษาหน้าของตัวเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเธอ

ก่อนหน้านี้เธอพุ่งเป้ามาที่ฉันครั้งแล้วครั้งเล่าจนฉันรู้สึกแย่มาก ถ้าไม่ใช่เพราะต้องคำนึงถึงภาพรวมฉันคงตอกกลับเธอไปนานแล้ว

ไม่คิดว่าเธอจะยังหาเรื่องโจมตีฉันทั้งที่เรื่องมันผ่านมานานกว่าครึ่งปีแล้ว

ตลกดีเหมือนกัน

แล้วฉันก็เลิกคิดถึงเรื่องของหลี่ลี่ชิง

ฉันพาเป้ยเปยออกมาเลือกซื้อเสื้อผ้าเป็นครั้งแรก เขามองตาไม่กระพริบ พอเจอชุดที่ชอบก็ดึงชายเสื้อของลู่จือสิงแล้วเงยหน้าทำตาน่าสงสารใส่เขาโดยไม่ได้พูดอะไร

ฉันกำลังจะบอกว่าไม่ต้องซื้อเพิ่มอีก แต่ลู่จือสิงก็สั่งให้พนักงานหยิบชุดลงมาเสียแล้ว

ฉันยกมือขึ้นกุมหน้าผากเมื่อเห็นเสื้อผ้ามากมายในมือของพนักงาน ฉันไม่เคยเห็นลู่จือสิงใช้จ่ายสุรุ่ยรุร่ายอย่างนี้มาก่อน จึงรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วรั้งเขาไว้ "พอแล้วประธานลู่ มันสิ้นเปลืองเกินไป เป้ยเปยโตเร็วมาก เดี๋ยวก็ต้องมาซื้อใหม่อีก"

ลู่จือสิงกำลังมีความสุขจนไม่ฟังฉันเลย "ไม่เป็นไร จะได้ให้เป้ยเปยใส่เสื้อผ้าไม่ซ้ำกันเลยทั้งเดือน"

"..."

ฉันรู้สึกหงุดหงิด แต่เพราะทำอะไรไม่ได้จึงปล่อยให้สองพ่อลูกเดินดูกันเอง ส่วนฉันไปหาที่นั่งพักแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาหางานเพื่อเตรียมยื่นใบสมัคร

หลังจากรอมานานกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดลู่จือสิงก็จูงเป้ยเปยกลับมา

ฉันขมวดคิ้วเมื่อเห็นกองเสื้อผ้าบนเคาน์เตอร์แล้วรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นออกไปครึ่งหนึ่ง "พวกนี้ไม่เอาแล้วค่ะ"

ลู่จือสิงยื่นมือเตรียมจะหยิบกลับไป แต่ฉันหันไปถลึงตาใส่เขา "ลู่จือสิง คุณอย่าใช้จ่ายสุรุ่ยรุส่ายอย่างนี้สิ”

เขาเม้มริมฝีปากแล้วถอนมือออกไปในที่สุด

ลู่จือสิงเรียกฉันเมื่อข้างหน้าเป็นไฟแดง "ซูซู"

ฉันกำลังก้มหน้าคัดเลือกบริษัทอยู่ พอได้ยินเขาเรียกจึงทำแค่ส่งเสียงขานรับสั้นๆ โดยไม่เงยหน้ามองเขา

"ผมกับคุณมีเรื่องต้องคุยกัน”

ฉันเงยหน้าขึ้นเพราะสิ่งที่เขาพูด "ถ้าคุณอยากคุยเรื่องที่ซื้อของให้เป้ยเปยละก็ เราคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก... เป้ยเปยยังเด็กมาก ฉันรู้ว่าคุณอยากจะเอาใจลูก แต่คุณต้องปลูกฝังเรื่องการใช้จ่ายอย่างถูกต้อง จะปล่อยให้เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการตั้งแต่ยังเด็กไม่ได้... ฉันรู้ว่าคุณมีเงินเหลือเฟือ แต่ตอนนี้เป้ยเปยโตเร็วมาก เสื้อผ้าชุดละเป็นพันแต่ใส่แค่ครั้งเดียว คุณไม่เสียดายเงิน แต่ฉันเสียดายเสื้อผ้า”

เขาขยับปากเหมือนจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่พูด

หลังจากมองเขาอยู่ครู่หนึ่งฉันก็ถอนหายใจ "ฉันรู้ว่าคุณต้องการชดเชยให้เป้ยเปย แต่ต้องไม่ใช่การชดใช้ด้วยเงินทอง แค่คุณอยู่กับเป้ยเปยตอนนี้ เป้ยเปยก็มีความสุขมากกว่าเด็กคนไหนๆ แล้ว อย่างน้อยเราสองคนก็มีเวลาอยู่กับเขาแทนที่จะสนใจแต่เรื่องงาน"

รถสตาร์ทขึ้นและเขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับฉันว่า "คุณพูดถูก"

ฉันเข้าใจว่าลู่จือสิงอยากชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่กับเป้ยเปยตอนเขาเกิด และเพราะเขายอมไม่ได้ที่เห็นเป้ยเปยกับฉีซิ่วหรานมีความผูกพันกันมาก

ฉันไม่เคยเห็นเขาทำตัวเป็นเด็กขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้จึงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เราไม่ได้พบฉีซิ่วหรานมาเกือบครึ่งปีแล้ว ด้วยอายุของเป้ยเปยตอนนี้ เจอกันคราวหน้าฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้ยเปยจะจำอาฉีของเขาได้ไหม

หลังจากช้อปปิ้งตลอดช่วงบ่าย เป้ยเปยกลับมาถึงก็เข้านอนตั้งแต่สองทุ่ม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้