ฉันอึ้งไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าลู่จือสิงจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้
ปู่ของเขาหันมามองฉันแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็คงต้องให้แต่งงานกัน”
“ผมไม่เห็นด้วย!”
พ่อของเขาคัดค้านทันทีที่คุณปู่พูดจบ
“ฉันตัดสินใจแล้ว กินข้าว!”
คุณปู่กล่าวย้ำครั้งสุดท้ายเป็นเชิงออกคำสั่ง ทำให้พ่อของลู่จือสิงและหยาวตันตันหันมามองฉันอย่างไม่พอใจ
พอฉันหันไปมองลู่จือสิงก็พบว่าสีหน้าของเขามึนตึงยิ่งกว่าเดิมจนฉันไม่กล้าพูดอะไร
อาหารมื้อนี้เลยกลายเป็นมื้อที่น่าอึดอัดไปในทันที
ก่อนกลับ ปู่ของลู่จือสิงเรียกเขาไปคุยที่ชั้นสองนานกว่าครึ่งชั่วโมง เขาเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นเล็กน้อย มองมาที่ฉันแล้วพูดว่า “กลับกันเถอะซูยุ่น”
ก่อนหน้านี้ฉันเกือบทนไม่ไหวเพราะหยาวตันตันและถันฮ่าวอวี่เอาแต่พูดจาเสียดสีฉัน แต่เพราะที่นี่เป็นถิ่นของพวกเขาฉันจึงตอบโต้อะไรไม่ได้ ต้องแสร้งกดโทรศัพท์เล่นทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด
พอลู่จือสิงบอกว่าจะกลับฉันจึงรีบลุกตามเขาไปทันที
ระหว่างทางกลับสีหน้าของเขาเรียบเฉยมาก
ฉันมีเรื่องคาใจอยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า
แล้วอยู่ๆ เขาก็จอดรถอย่างกะทันหันและหันมาถามฉัน “มีอะไรหรือเปล่า”
“หือ?” ฉันนิ่งงันไปนิดหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า ปฏิเสธไปว่า “ไม่มีอะไร”
สีหน้าของลู่จือสิงเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม
ฉันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามไปว่า “คุณกับพ่อแม่เข้ากันไม่ค่อยได้หรือ”
ลู่จือสิงมองฉันแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเยาะหยันและเย็นชาว่า “ผมไม่มีแม่... แม่ของฉันตายไปแล้ว”
คำพูดของเขาสร้างความประหลาดใจให้ฉันได้ไม่หยุดหย่อน “แต่ว่า เมื่อกี้...”
“ก็แค่คนรักใหม่ของพ่อผม”
ประโยคธรรมดานี้ทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก
ฉันไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ แม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าในครอบครัวของเศรษฐีมักมีเรื่องราวซับซ้อนวุ่นวาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอกับตัวเอง จนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรเพื่อไม่ให้กระทบความรู้สึกของลู่จือสิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้