หลินเจี่ยวอาจจะตื่นตระหนกกับคำพูดของฉัน เธอพูดสองสามคำ ฉันก็ฟังไม่ชัดเจน และเธอก็วางสายโทรศัพท์ไป
เป็นเพราะการโทรศัพท์นี้ เดิมทีอารมณ์ของฉันสงบลงแล้ว แต่ตอนนี้ความโกรธก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่น่าแปลกที่หลี่ฮุ้ยหรูได้รับการเลี้ยงดูจนเป็นอย่างนั้น จริงๆแล้วพ่อแม่ขาดความรับผิดชอบ
ป้าจ้าวถามฉันว่าเป็นอะไร ฉันสงบความโกรธลงและส่ายหน้า:“ไม่มีอะไร”
ทันทีที่พูดจบ ลู่จือสิงก็ผลักประตูเข้ามา:“พวกคุณคุยอะไรกันอยู่?”
ฉันกำลังจะพูด ป้าจ้าวก็พูดขึ้นมาก่อน:“เมื่อตะกี้ไม่รู้ว่าใครโทรศัพท์เข้ามา หลังจากคุณหญิงรับสายก็โกรธจนหน้าซีด”
ฉันมองไปที่ลู่จือสิงและบอกว่าเมื่อตะกี้เกิดอะไรขึ้น:“แม่ของหลี่ฮุ้ยหรูโทรศัพท์มา ถามฉันว่าไม่ฟ้องเธอได้ไหม และเธอรู้สึกว่าค่าเสียหายมันมากเกินไป”
พอฉันพูดจบ สีหน้าลู่จือสิงก็เย็นชา:“ครั้งต่อไปไม่ต้องพูดกับพวกเขามากนัก อาทิตย์หน้าก็ขึ้นศาลแล้ว”
การฟ้องร้องคดีแพ่ง อันที่จริงจะถูกตัดสินหลังจากขึ้นศาลแล้ว ลู่จือสิงกัดฟันไม่ยอมให้ตัดสินก่อน และเขาตั้งใจจะให้บทเรียนกับหลี่ฮุ้ยหรู
ฉันกับลู่จือสิงมีความคิดเช่นเดียวกัน หลี่ฮุ้ยหรูก็ทานอาหารและใส่เสื่อผ้าธรรมดาๆ ดูแล้วพื้นฐานครอบครัวก็มีอันจะกิน แต่ลักษณะนิสัยอย่างนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกคนเดียวที่ถูกตามใจมากจนเกินไป
เธอเพิ่งออกมามีสังคม มีนิสัยขี้แยฉันพอเข้าใจและให้อภัยเธอได้ แต่เธอร้ายกาจมากจนวางยาฉัน แบบนี้ไม่ใช่เด็กขี้แยที่เรียบง่ายขนาดนั้น
ความเจ็บปวดของฉันในวันนั้นเป็นยังไง ก็มีเพียงตัวฉันเองเท่านั้นที่รู้ ฉันไม่ใช่พระแม่มารี จะเป็นไปได้ยังไงที่แค่เธอร้องไห้และพูดว่าขอโทษเพียงไม่กี่คำ ฉันก็จะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป
ดังนั้นได้ยินที่ลู่จือสิงพูดแล้ว ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรมาก:“ฉันรู้แล้ว”
วันนี้ตอนบ่านฉันนอนหลับไปสักพัก พอถึงกลางคืนแล้วก็นอนไม่หลับ
ลู่จือสิงอาบน้ำเสร็จออกมา ยังเห็นว่าฉันนั่งอยู่บนเตียง เขาขมวดคิ้วเบาๆและขยับเข้ามา:“คิดอะไรอ่ะ?”
ขณะที่พูดเขาก็เข้ามากอดฉัน เขาสระผมและยังเช็ดผมไม่แห้ง น้ำหยดลงมาใส่ที่คอของฉันจนรู้สึกเย็นๆ
ฉันยกมือผลักเขา:“ผมคุณยังไม่แห้ง”
ทันทีที่ฉันพูดจบ ในมือก็มีผ้าขนหนูผืนหนึ่ง:“นั้นเธอช่วยฉันเช็ดหน่อย”
ฉันก้มหน้ามองผ้าขนหนูในมือตัวเอง สุดท้ายก็ยกมือขึ้นช่วยเช็ดผมให้เขา
“คุณคิดยังไงกับหลี่ฮุ้ยหรู?”
ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันเม้มบอกและบอกความคิดของตัวเองกับเขา:“ครั้งนี้หลี่ฮุ้ยหรูทำให้บริษัทเราสูญเสียโครงการนี้ และเธอก็ทำให้ฉันเป็นทุกข์ไม่น้อยเลยนะ ฉันไม่ใช่พระแม่มารี ถ้าฉันสามารถให้บทเรียนเธอได้ ฉันคิดว่าฉันก็ควรที่จะให้บทเรียนเธอ”
“สมกับที่เป็นคุณหญิงลู่!”
แล้วลู่จือสิงก็ขยับทันที ฉันจึงบอกให้เขาเอนหลัง เขาก้มลงจูบ
จูบที่ผิวเผิน เมื่อเขาปล่อยฉันแล้วก็ไม่ได้จากไปในทันที ลมหายใจของเขากระทบใบหน้าของฉัน และนิ้วหัวแม่มือก็ลูบไล้ที่แก้มของฉัน:“ซูยุ่น เป็นคุณหญิงลู่มีอะไรต้องกล่ำกลืน คุณก็ไม่จำเป็นต้องอดทน”
เมื่อได้ยินที่เขาประธานลู่จอมเผด็จการพูด ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ:“คุณจะสนับสนุนฉันอยู่ข้างหลังใช่ไหม?”
เขาทำเสียงฮึ:“เธอเป็นเมียฉัน ฉันไม่สนับสนุนเธอ แล้วเธอคิดว่าใครจะสนับสนุนเธอ?”
เมื่อเห็นว่าเขาต้องการพูดไปเรื่องอื่น ฉันก็เลยไม่พูดต่อ และหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้เขา จนเกือบจะแห้ง เอามือลูบแล้วก็ไม่เปียก ฉันจึงเอาผ้าขนหนูวางไว้ด้านข้าง:“เสร็จแล้ว นอนล่ะ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงาน!”
“เธอไม่ปวดแล้วหรอ?”
ฉันก้มลงจะปิดไฟที่หัวเตียง จู่ๆเขาก็กอดเอวและก้มลงมองฉัน
ฉันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี:“ฉันก็แค่เป็นประจำเดือนแค่นั้นเอง!และเป็นมาสามวันแล้ว?พรุ่งนี้จะเป็นวันที่สี่ ฉันยังปวดอยู่เรื่อยๆ และฉันยังอยากมีชีวิตอยู่?!”
เขาตะคอก:“เมื่อวานเธอทำให้ฉันตกใจ เธอเองไม่ใช่ว่าไม่รูู้”
เมื่อได้ยินเขาพูดเรื่องเมื่อวาน ฉันก็ทำเป็นอ่อนแอ:“ฉันสำนึกผิดแล้ว วันหลังถ้าฉันไม่สบายจะไม่ฝืนอีกเด็ดขาด”
ลู่จือสิงตะคอกอย่างเย็นชา และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก
คืนนี้ฉันน่าจะหลับสบายที่สุดในรอบหลายคืนที่ผ่านมา
ฉันเข้านอนแต่หัวค่ำและวันพรุ่งนี้ค่อยตื่นเจ็ดโมงเช้า ลู่จือสิงลุกขึ้นไปวิ่งแล้ว ฉันก็กลิ้งไปกลิ้งมาสักหน่อย แล้วค่อยลุกไปทานอาหารเช้า
ตอนเช้าฉันเพิ่งมาถึงบริษัท เซี่ยงฉิงก็ดึงฉัน:“เมื่อวานนี้เธอส่งหลี่ฉุ้ยหรูไปสถานีตำรวจจริงๆหรอ?”
ฉันมองไปที่คนอื่นๆที่อยากรู้อยากเห็น และก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม:“จริงๆ”
ทำได้ดีมาก!”
เซี่ยงฉิงยกมือขึ้นและยกนิ้วหัวเม่มือทั้งสองให้ฉัน “เธอคงไม่รู้ ฉันเห็นเขาแล้วก็ไม่ถูกชะตา!จริงนะ มีแต่คนนิสัยอย่างเธอที่พอจะหยุดเขาไว้ได้ ถ้าเป็นฉันจะสอนเขาว่าเป็นคนควรทำยังไง!”
“เอาล่ะ เธอคลายความโกรธลงเถอะ เรื่องนี้มันจบแล้ว เราก็อย่าพูดถึงเลย”
เซี่ยงฉิงไม่เห็นด้วย:“จบที่ไหนกัน!โครงการนั้นของจินเฉิงไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วหรอ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกปวดหัว
โครงการนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร บริษัทจินเฉิงมีกิจกรรมหลายอย่างต่อปี และเขามักจะมาหาพวกเรา แต่ปีนี้คาดว่าหลี่เซี่ยงคงโกรธมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงนามกับบริษัทคู่แข่งของเราในวันถัดมาทันที
ไม่ว่าจะพูดยังไง เรื่องนี้บริษัทของเราก็ผิด แต่เรื่องที่หลี่ฮุ้ยหรูทำนั้นหมดคำจะพูดจริงๆ เห็นชัดๆว่าฉันเป็นคนพาเธอมา เรื่องนี้ฉันไม่อยากจำแต่ก็ต้องจำ
ฉันกำลังคิดว่าจะนัดพบหลี่เซี่ยงเมื่อไหร่ดี หวางเสี่ยวซินก็มา:“ซู่ยุ่น ฉันจะพูดเรื่องนี้กับคุณหน่อย”
ฉันกำลังเปิดคอมพิวเตอร์ พอได้ยินที่เขาพูดก็เงยหน้าขึ้นถาม:“ว่าไง?”
“ทางด้านบริษัทจินเฉิง บอสให้พวกเราไปขอโทษ”
ฉันพยักหน้า:“ฉันก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ดี และก็ไม่รู้ว่าจะนัดหลี่เซี่ยงเป็นการสาวนตัว หรือว่า——”
“ฉันไปกับคุณ ไปกันวันนี้เลย”
ฉันรู้สึกแปลกใจ:“ทำไมกะทันหัน ทางด้านพวกเขาน่าจะยุ่งมากนะ?”
หวางเสี่ยวซินส่ายหัว:“ฉันก็ไม่เข้าใจ บอสสั่งให้ฉันไปกับคุณวันนี้เลย” ขณะที่เขาพูดก็หยุดไปชั่วครู่:“อ่อ ใช่แล้ว บอสบอกว่าเรื่องของหลี่ฮุ้ยหรู บริษัทจะให้โบนัสคุณเป็นการชดเชย”
“นี่——”
ฉันคิดไม่ถึง แต่คิดๆดูแล้วก็ไม่ปฏิเสธที่บริษัทจะให้ แน่นอนว่ารับไว้ก็ดี ไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นใจกว้าง
ดูเหมือนว่าหวางเสี่ยวซินจะไปตอนนี้เลย ฉันเหลือบไปมองคอมที่เพิ่งเปิดแล้วก็ปิดมัน เก็บของและออกไปรอเขาที่ประตูทางเข้า
ฉันมาที่บริษัทจินเฉิงหลายครั้งแล้ว แต่เป็นเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
หวางเสี่ยวซินจอดรถ ฉันผลักประตูรถแล้วลงไป เราสองคนเขาไปที่ล็อบบี้ แผนกต้อนรับบอกว่าให้พวกเรารอสักครู่
พวกเราพยักหน้า แล้วก็ถอยออกมารอ
รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด แม้ว่าหลี่เซี่ยงจะจงใจทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ทำได้เพียงกลืนมันลงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้