วันรุ่งขึ้นฉันแทบจะตื่นขึ้นมาไม่ไหว พอลุกขึ้นมาดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ฉันก็อยากจะถีบลู่จือสิงไปสักที
เขาเป็นถึงผู้อำนวยการของบริษัทแต่ฉันไม่ใช่ ถ้าฉันไปทำงานสายขึ้นมาละก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองกันแล้ว ฉันต้องอยู่ที่เมือง J อย่างน้อยสี่วัน ดังนั้นจึงต้องจัดการงานต่างๆ ทางนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
วันนี้ฉันสั่งอาหารจากข้างนอกมาทานและเร่งทำงานต่อ และอยู่ทำงานล่วงเวลาจนถึงหนึ่งทุ่มกว่า
คืนนี้ลู่จือสิงต้องไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ ฉันขี้เกียจกลับไปกินข้าวที่บ้านจึงสั่งอาหารมากินก่อนจะกลับบ้านเสียเลย
กว่าฉันจะกลับถึงบ้านก็ตอนสองทุ่มครึ่ง พอกำลังคิดว่าจะไปอาบน้ำ ลู่จือสิงก็กลับมาพอดี
ฉันได้กลิ่นเหล้ามาจากตัวเขาจึงเงยหน้ามองโดยอัตโนมัติ แต่ท่าทางเขาดูไม่เหมือนคนเมา
ฉันอดเลิกคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้ “คุณไม่ได้เมาใช่ไหม?”
“ไม่เมา”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่าเดินซวนเซ
ฉันหัวเราะออกมา รู้แล้วว่าเชื่อถือคำพูดของเขาไม่ได้... เวลาที่ดูไม่ออกว่าใครเมาหรือเปล่าต้องลองถามแบบนี้แล้วดูว่าเขายังตอบได้ชัดเจนดีหรือเปล่า
หากไม่ใช่เพราะฉันรู้จักนิสัยใจคอของเขามานาน ฉันคงคิดว่าเขาไม่ได้เมาอย่างที่พูดจริงๆ
กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ตัวของเขาแรงมากจนฉันได้กลิ่นทันทีที่เปิดประตู
เมื่อเห็นเขาเมาแบบนี้ฉันจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงจนเดินไปถึงโซฟา “คุณหิวไหม”
“หิว”
เขาเงยหน้ามองฉันด้วยแววตาที่น่าสงสาร
ฉันรู้ว่าเขาหิวแต่ดูเหมือนจะไม่ได้เมามากนัก
ฉันไม่ได้ทำอาหารกินเองที่บ้านมาหลายวัน ของในตู้เย็นจึงยังพอมีอยู่บ้าง
โชคดีที่ในช่องแช่แข็งยังมีบะหมี่เกี๊ยว ฉันจึงหาขนมปังแฟลตเบรดมาเพิ่มและนำไปให้เขากินพร้อมกับบะหมี่หนึ่งถ้วย
พอฉันออกมาก็เห็นเขากำลังหลับตาเอนหลังพิงพนักโซฟาอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขาหลับไปแล้วหรือเปล่า
ฉันลองเรียกอย่างไม่แน่ใจ “ลู่จือสิง?”
ตอนแรกเขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ฉันจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ “ลู่...”
ยังพูดไม่ทันจบ อยู่ๆ เขาก็ดึงฉันเข้าไปไว้ในอ้อมกอด
ขณะที่ฉันพยายามจะผละออกเขากลับกอดฉันแน่นขึ้นไปอีก “อย่าดิ้น ขอผมกอดสักพักนะ”
พอเขากอดฉันได้สักพัก ฉันก็ส่งเสียงงึมงำขึ้นมาเบาๆ “พอใจหรือยัง”
“ขอกอดอีกแป๊บนะ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันแล้ว จะไม่ได้เจอกันอีกอย่างน้อยก็ตั้งสามวัน”
ที่เขาพูดนั้นก็ถูก พอได้ยินแบบนี้ฉันก็รู้สึกอาลัยขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นโอบรอบคอของเขาและซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง “ฉันจะคิดถึงคุณ”
“อย่าลืมโทรหาผมด้วยนะ”
ได้ทีเอาใหญ่เลยรึ?
ฉันยิ้มให้เขา “ฉันรู้แล้วน่ะ แต่ถ้าคุณยังไม่ปล่อยฉัน หน้าคุณได้เละเป็นโจ๊กแน่”
ลู่จือสิงยังไม่ได้เมาถึงขนาดขาดสติจึงยังจำใบหน้าของเขาได้
พอเขายอมปล่อยมือฉันจึงตั้งใจจะลุกไปทำซุปให้เขากินแก้เมาค้าง
ทันทีที่ฉันยืนขึ้นเขาก็เอื้อมมือมากดฉันให้ลงนั่งตามเดิม “จะลุกไปไหน นั่งลงก่อน”
ฉันรู้สึกจนปัญญาหน่อยๆ “ฉันจะไปทำซุปให้คุณกินแก้เมาค้าง”
“ผมไม่ได้ดื่มมาเยอะ”
เขาเงยหน้ามองฉันก่อนจะคีบบะหมี่เข้าปากแล้วหันกลับมามองฉันอีก “คุณมองผมไว้นะ ไม่อย่างนั้นผมกลัวว่าคุณจะลืมแม้แต่หน้าของสามีตัวเอง”
“...”
ฉันทั้งขำทั้งโกรธเขาจริงๆ แต่เขาโอบฉันไว้ฉันจึงไปไหนไม่ได้ ส่วนเขาก็กินบะหมี่ไม่สะดวก
คิดๆ ดูแล้วฉันจึงยอมประนีประนอม “ก็ได้ๆ คุณปล่อยฉัน ฉันจะนั่งดูคุณกินบะหมี่อยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน ตกลงไหม”
เขาเงยหน้ามองฉันอยู่สองวินาทีราวกับจะยืนยันให้แน่ใจว่าฉันพูดจริง
สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือจากฉันและกินบะหมี่ต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้