หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 266

ฉันหันกลับไปมองเขาและยิ้มอย่างอิ่มเอม

เป้ยเปยเหมือนลู่จือสิงมากจริงๆ แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าเขาซึมซับบุคลิกมาจากพ่อของเขา... เป้ยเปยเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ตอนเป้ยเปยยังเด็กฉันคิดว่าเขากลัวคนแปลกหน้า พอโตขึ้นมาจึงพบว่าเขาเพียงแค่ทำตัวขรึมและเย็นชากันคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่ได้กลัวคนแปลกหน้าอย่างที่คิด

ทว่าแม้ตอนนี้เขาจะยังเด็กมาก แต่กลับถูกซื้อใจได้ง่ายเหลือเกิน เพียงแค่ซื้อของมาให้นิดๆ หน่อยๆ เขาก็ยอมเล่นด้วยง่ายๆ แล้ว

แต่นั่นก็จำกัดแค่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น พอถงเจียหลินจะกอดเขา อยู่ๆ เขาก็หันหน้าหนีและเบะปากเหมือนจะร้องไห้

ฝีมือการแสดงระดับนี้ ถ้าไม่ได้เข้าวงการบันเทิงคงน่าเสียดายจริงๆ

การกินข้าวด้วยกันหลายๆ คนนั้นสนุกครึกครื้น เนื่องจากผู้ชายทั้งสามคนต้องขับรถ เราจึงไม่ได้สั่งเหล้ามาดื่ม เราคุยกันด้วยหัวข้อที่สบายๆ และน่าสนใจ ไม่ได้คุยกันเรื่องที่เคร่งเครียด บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงเป็นกันเองมาก

เรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือเรื่องของเซี่ยงฉิงและฉีซิ่วหราน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปอย่างก้าวกระโดด พอรู้ว่าพลาดท้องปุ๊บก็แต่งงานกันปั๊บ

นับๆ ดูแล้วเพิ่งผ่านมาแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ ยังไม่ถึงสองเดือนเลยด้วยซ้ำ

ต้องบอกเลยว่าความสามารถในการจัดการของฉีซิ่วหรานนี่สุดยอดจริงๆ

ทุกคนต่างรับประทานอาหารไปคุยไป จนเมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเวลาก็ล่วงมาจนถึงสามทุ่มกว่าแล้ว

พอฉันเหลือบไปมองเป้ยเปยก็เห็นว่าเขากำลังสัปหงกอยู่อย่างที่คิด

เซี่ยงฉิงก็เห็นเช่นกันจึงเบาเสียงลง

พรุ่งนี้ทุกคนยังต้องไปทำงานจึงไม่อยากปล่อยให้ดึกเกินไป จึงตัดสินใจแยกย้ายกันกลับบ้าน

ทั้งนี้ฉีซิ่วหรานเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อนี้อย่างที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก

กว่าเราจะกลับถึงบ้านก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว เป้ยเปยหลับไปตั้งแต่อยู่ในรถ

คืนนี้ไม่จำเป็นต้องมีคนกล่อม เขาก็หลับไปเองเรียบร้อย

วันรุ่งขึ้นเซี่ยงฉิงหอบหิ้วของมากมายมาให้เมื่อฉันไปถึงที่ทำงาน พอเปิดออกดูจึงเห็นว่าทั้งหมดคือของเล่น

“คุณเอาของเล่นมาจากไหนเยอะแยะ?”

“สำหรับเป้ยเปย! ลูกชายทูนหัวของฉัน!”

ฉันหัวเราะ “ทำไมคุณถึงซื้อให้เขาเยอะขนาดนี้? เด็กโตเร็วจะตาย ไม่กี่วันก็เปลี่ยนไปชอบอย่างอื่นแล้ว!”

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงฉีซิ่วหรานก็เป็นคนจ่ายให้!”

ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งและมองเธออย่างมีความหมาย “ไม่เลวเลยนี่สหายเซี่ยงฉิง ถึงขนาดกุมอำนาจทางการเงินไว้เรียบร้อยตั้งแต่ตอนนี้เลยเชียว”

“อำนาจทางการเงินอะไรหรือ?”

ทันทีที่ฉันพูดจบ ถงเจียหลินก็เดินเข้ามาพลางถามฉันกับเซี่ยงฉิง

ฉันยกของเล่นให้ดู “เซี่ยงฉิงนะสิ ใช้เงินของฉีซิ่วหรานซื้อของเล่นพวกนี้ให้เป้ยเปย”

“ความจริงฉันก็ซื้อของเล่นมาเหมือนกัน”

ถงเจียหลินพูดพลางหอบกล่องใบหนึ่งออกมา

ฉันเห็นแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พวกคุณเป็นกันขนาดนี้เลยหรือ?”

“เป้ยเปยน่ารักมากนี่นา!”

“ใช่ น่ารักมาก! นี่ๆ แล้ววันเสาร์อาทิตย์นี้คุณมีธุระอะไรไหม? ถ้าไม่มี ฉันอยากจะพาเป้ยเปยออกไปออกไปเที่ยวซะหน่อย!”

ฉันไม่คิดว่าแค่เจอกันครั้งเดียว ทั้งสองคนจะหลงเป้ยเปยมากขนาดนี้

พอคิดได้ว่าไม่ได้ไปช้อปปิ้งกับทั้งคู่มานานแล้วฉันจึงตอบตกลง เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีแพลนจะไปไหนอยู่แล้ว

วันพรุ่งนี้เซี่ยงฉิงต้องไปถ่ายภาพสำหรับงานแต่งที่ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วเป็นวันที่ 24 เดือนหน้าซึ่งใกล้จะถึงเต็มที

แต่ถ้ามีเงินซะอย่างก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เพราะในสังคมทุกวันนี้เงินสามารถบันดาลให้ได้ทุกอย่าง

จะพูดว่าเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งเดือนเพื่อเตรียมตัวก็ไม่ได้ แค่แจกบัตรเชิญงานแต่งและอื่นๆ เวลาแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!

พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงผ่านเดือนกุมภาพันธ์จนมาถึงเดือนมีนาคม

วันที่ 2 เป็นวันเสาร์ หลังผ่านสุดสัปดาห์นี้ วันอังคารหน้าฉันก็ต้องไปเมือง J แล้ว

เป้ยเปยต้องไปอยู่กับคุณลุงคุณป้า ดังนั้นพรุ่งนี้ฉันกับลู่จือสิงจึงตัดสินใจพาเป้ยเปยไปโดยถือโอกาสไปเยี่ยมพวกเขาด้วย

ลู่จือสิงมีความเห็นว่าไม่ว่าจะไปวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะอย่างไรก็ต้องให้พวกเขาช่วยดูแลเป้ยเปยอยู่ดี

ตอนที่จะแยกกันเป้ยเปยเข้ามากอดฉันแล้วร้องไห้ออกมา พอได้ยินลูกร้องแบบนี้ฉันก็ยิ่งตัดใจลำบาก

ลู่จือสิงเหลือบมามองฉันแล้วเลิกคิ้ว เขาก้มลงไปอุ้มเป้ยเปยขึ้นมาก่อนจะหันมาบอกฉันว่า “คุณออกไปก่อน”

“แต่ว่า...”

“วางใจเถอะ เขาร้องไปอย่างนั้นเอง เดี๋ยวพอคุณไปเขาก็หยุดร้องแล้ว!”

ฉันไม่รู้ว่าทำไมสองพ่อลูกจึงชอบทำเมินใส่กันมาตลอด

ตอนเป้ยเปยยังเด็กลู่จือสิงก็ดูปกติดี แต่พอลูกเริ่มโตขึ้นเขาก็ยิ่งเมินเฉยใส่ลูกมากขึ้น

พอหันไปเห็นเจ้าตัวน้อยที่กำลังมองฉันอย่างน้อยใจ ฉันก็ทนไม่ไหว จึงบอกลู่จือสิงไปว่า “ฉันออกไปก่อนนะ!”

ฉันกัดฟันตัดใจเดินออกมาอย่างยากลำบาก

เป้ยเปยเป็นเด็กผู้ชาย ถึงอย่างไรเขาก็จะทำตัวติดฉันอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้

หลังจากออกมาได้ไม่ถึงสองนาทีลู่จือสิงก็ตามออกมา

เขาหันมามองฉัน “เห็นไหม ผมบอกคุณแล้วว่าอย่าตามใจเขาบ่อยๆ ตอนนี้แค่เห็นหน้าคุณเขาก็ร้องแล้ว!”

ฉันว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเลย “ฉันไม่ได้ตามใจเขาซะหน่อย!”

ลู่จือสิงไม่ได้ว่าอะไรอีก ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาจึงชวนฉันออกไปกินข้าวเย็นนอกบ้าน ด้วยเหตุผลว่าเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันสองคนมานานแล้ว

พอคิดว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกสักพัก ฉันก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา จึงพยักหน้ารับคำชวน

หลังกินข้าวเสร็จตอนประมาณสองทุ่มกว่าๆ ฉันรู้สึกอิ่มนิดหน่อย จึงจูงมือลู่จือสิงไปเดินเล่นด้วยกันอยู่ครู่นึ่งก่อนจะกลับบ้าน

เรากลับไปถึงบ้านตอนเวลาสามทุ่มกว่าๆ พรุ่งนี้คือวันที่ 4 พอถึงวันที่ 5 ฉันกับลู่จือสิงก็ต้องเดินทางไปเมืองอื่นแล้ว

ฉันต้องไปที่นั่นอย่างน้อยสี่วัน เดาว่าเขาก็คงต้องไปนานพอๆ กัน พอคิดอย่างนั้นฉันก็เริ่มทำใจไม่ค่อยได้

ลู่จือสิงเข้ามากอดฉันจากทางด้านหลังหลังจากอาบน้ำเสร็จ “คืนนี้เป้ยเปยไม่อยู่ละ”

เขาโน้มศีรษะลงมากัดฉันจนฉันต้องดุเบาๆ “อย่ากัดน่ะ!”

ปกติเขาจะรอกลับไปที่ห้องนอนก่อนจึงจะเริ่มทำอะไรแบบนี้ แต่วันนี้เขากลับกดฉันลงที่โซฟาในห้องรับแขกแล้วประทับจูบลงมา

ฉันสู้แรงเขาไม่ได้ จึงถูกกดลงบนโซฟาอย่างง่ายดายจนไม่อาจขยับเขยื้อน

จูบของลู่จือสิงทั้งหนักหน่วงและรุนแรง เพียงแค่ครู่เดียวร่างกายของฉันก็อ่อนปวกเปียกไปหมด

ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกเขาถอดชุดนอนออกตั้งแต่เมื่อไหร่ มือหนาที่ร้อนผ่าวราวกับไฟค่อยๆ ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของฉัน

ฉันขยับตัวเล็กน้อยอย่างทนไม่ไหว ลู่จือสิงจึงดุเบาๆ “อย่าขยับสิ!”

ฉันมองเขา “อึดอัด!”

“อย่าดื้อสิ รอผมถอดเสื้อผ้าก่อน!”

หน้าฉันแดงขึ้นทันทีที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น

ไม่ทันคิดว่าอยู่ๆ เขาจะจู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหันจนฉันอดครางออกมาไม่ได้ ปกติฉันจะพยายามอดทน และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน

ทันใดนั้นลู่จือสิงก็ตีฉันเบาๆ “เป้ยเปยไม่อยู่บ้าน คุณร้องออกมาดังๆ ก็ได้!”

ฉันจ้องมองเขา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าที่เขาอยากไปส่งเป้ยเปยตั้งแต่วันนี้เพราะวางแผนแบบนี้ไว้นี่เอง

พอตระหนักว่าวันนี้เป้ยเปยไม่อยู่บ้านฉันจึงปลดปล่อยตัวเองมากกว่าปกติ ฉันยกขาทั้งสองข้างเกี่ยวเอวของเขาไว้เพื่อเป็นการต้อนรับ

ทันใดนั้นลู่จือสิงก็แสดงความประหลาดใจออกมา “ซูยุ่น...”

เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าเสียงเรียกของเขานั้นช่างน่าฟังเหลือเกิน เมื่อฉันเรียนรู้ที่จะทำแบบเดิมอีกครั้ง เขาก็ยิ่งรุกใส่ฉันอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องพร้อมส่งเสียงครางที่ข้างหูของฉัน

ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันกำลังแตกพ่าย รู้สึกดีจนลืมวันลืมคืนไปสิ้น

เนื่องจากวันนี้เป้ยเปยไม่อยู่บ้าน เราสองคนจึงปล่อยตัวตามสบาย กว่าจะยุติบทรักลงได้ก็ราวเที่ยงคืนกว่าๆ

แล้วคืนนั้นฉันก็นอนหลับไปบนเตียงภายใต้อ้อมกอดของเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้