หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 265

ฉันทำเสียงงึมงำในลำคอ “เข้าใจแล้ว”

หากรู้ว่ารถจะติดนานขนาดนี้ ฉันคงไม่ลงมาทนรับลมหนาวรออยู่ข้างล่างอย่างนี้หรอก

คุณคงเข้าใจว่าคนที่กำลังรอมักจะคิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงมาถึงแล้ว

เพราะคิดแบบนั้นฉันจึงรออยู่อย่างนั้นตั้งนานกว่ายี่สิบนาที

พอรถเริ่มเคลื่อนออกไป ฉันก็นึกถึงเรื่องของเซี่ยงฉิงขึ้นมาได้จึงรีบเล่าให้เขาฟัง “ประธานลู่ เซี่ยงฉิงกับฉีซิ่วหรานตกลงจะแต่งงานกันเดือนหน้านะ”

“เร็วจริง”

ฉันพยักหน้า “เซี่ยงฉิงกำลังท้อง ถ้ารอช้ากว่านี้เดี๋ยวท้องใหญ่ขึ้น ตอนแต่งงานจะดูไม่ดี”

ฉันพูดเรื่องนี้เพราะอยากลองหยั่งเชิงเขาดู แต่เมื่อพูดจบลู่จือสิงกลับทำเพียงแค่หันมามองฉันนิดหนึ่ง “ที่คุณพูดก็ถูก”

ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ฉันก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา

แม้ว่าเขาจะงานยุ่ง แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่จะจดทะเบียนกันเขาดูรีบร้อนมาก ทว่าพอจดทะเบียนแล้วกลับไม่เคยพูดถึงเรื่องการจัดงานแต่งเลย จนฉันไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาคิดอย่างไรกันแน่

ฉันคิดไม่ออกจริงๆ พอคิดเรื่องนี้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองต้องเสียเวลาเปล่าทุกที

“อ้อ... วันที่ 5 เดือนหน้าฉันต้องไปที่เมือง J นะ โครงการของปีก่อนยังไม่เรียบร้อยน่ะ”

“วันที่ 5 หรือ?”

ฉันพยักหน้ารับ “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า วันนั้นผมก็ต้องไปเมือง R พอดี”

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องพาเป้ยเปยไปฝากพ่อแม่ของชวี่ชิงหนานอย่างช่วยไม่ได้

วันต่อมาขณะที่กำลังทำงาน เซี่ยงฉิงก็มาบอกฉันว่าฉีซิ่วหรานต้องการเชิญฉันกับถงเจียหลินไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ

เป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันไม่อาจปฏิเสธและมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แถมยังเป็นเรื่องยากมากที่คนเก็บตัวอย่างเขาจะมีความกังวลอะไรแบบนี้

ลู่จือสิงบอกว่าอยากไปด้วยเมื่อฉันบอกเรื่องนี้กับเขา แต่ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าสัปดาห์นี้ฉันขอให้ป้าจ้าวทำงานล่วงเวลามาสองวันแล้วเพราะไม่มีใครดูแลเป้ยเปย

หลังจากคิดแล้วฉันจึงปรึกษาเรื่องนี้กับลู่จือสิงและขอให้เขาไปรับฉันก่อนเวลาเลิกงานสิบนาที แล้วเราค่อยกลับบ้านไปรับเป้ยเปย

พอเซี่ยงฉิงและถงเจียหลินรู้เข้าต่างก็ส่งเสียงดังเอะอะเพราะอยากเจอเป้ยเปย อีกทั้งฉีซิ่วหรานก็ไม่ได้เจอเขามานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ฉันคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว

หลังจากหารือกันแล้วฉันจึงเริ่มสะสางงานที่คั่งค้าง แม้ว่าจะนัดกันไว้ว่าตอนหนึ่งทุ่มแต่ฉันก็ไม่อาจทำงานเกินเวลาได้ เพราะคิดว่าคงไม่ดีแน่ถ้าต้องปล่อยให้ทุกคนรอ

เมื่อวานฉันทำงานเรื่อยๆ สบายๆ แต่วันนี้กลับยุ่งจนหัวฟู

ตอนพักเที่ยงฉันกินข้าวเสร็จตั้งแต่ยังไม่บ่ายโมงแล้วรีบกลับมาเขียนแผนงานต่อ เพราะกลัวว่าจะต้องทำงานล่วงเวลาจึงไม่กล้าหยุดพักในช่วงพักกลางวัน

ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาดูนาฬิกา ถ้าไม่ใช่เพราะลู่จือสิงส่งข้อความมาหาฉันคงไม่รู้ว่าตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานเต็มทีแล้ว

ฉันกวาดตามองแผนงานในเอกสาร เมื่อเห็นว่ายังเหลืออีกหนึ่งจุดที่ต้องจัดการจึงบอกให้ลู่จือสิงสิงรอก่อนแล้วรีบเขียนงานต่อจนเสร็จ

ฉันรีบร้อนเก็บข้าวของเพื่อเลิกงาน ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับก่อนเวลาสิบนาที แต่พอเอาเข้าจริงทันทีที่ฉันเข้าไปในลิฟต์ เสียงออดเลิกงานก็ดังขึ้นพอดี

ถึงอย่างไรลู่จือสิงก็เป็นเจ้านายคนหนึ่ง ฉันจึงรู้สึกผิดจริงๆ ที่ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ “ฉันไม่คิดว่าวันนี้จะมีงานเยอะขนาดนี้”

“ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้ ผมไม่หนีไปไหนหรอก”

ฉันมัวแต่พูดจนลืมรัดเข็มขัดนิรภัย พอเห็นลู่จือสิงเอื้อมมือมารัดเข็มขัดให้ฉันก็รู้สึกวาบหวามในใจขึ้นมา “กลัวว่าคุณจะรอน่ะ”

“ถ้าเป็นคุณหญิงลู่ละก็ นานแค่ไหนผมก็รอได้”

“แน่ะๆ ทำเป็นปากหวาน”

ฉันทำเป็นพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจนั้นอ่อนยวบ

แม้ว่าวันนี้จะออกมาเร็วกว่าเวลาปกติเพียงสองนาที แต่การจราจรเบาบางกว่าเดิมมากจึงทำให้เรากลับมาถึงบ้านตั้งแต่ก่อนเวลา 6:20 น.

ป้าจ้าวเอ่ยทักทายฉัน และตอนนี้เป้ยเปยก็แต่งตัวรอเรียบร้อยแล้ว

“ต้องรบกวนป้าจ้าวอีกแล้ว!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้