ฉันทำเสียงงึมงำในลำคอ “เข้าใจแล้ว”
หากรู้ว่ารถจะติดนานขนาดนี้ ฉันคงไม่ลงมาทนรับลมหนาวรออยู่ข้างล่างอย่างนี้หรอก
คุณคงเข้าใจว่าคนที่กำลังรอมักจะคิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงมาถึงแล้ว
เพราะคิดแบบนั้นฉันจึงรออยู่อย่างนั้นตั้งนานกว่ายี่สิบนาที
พอรถเริ่มเคลื่อนออกไป ฉันก็นึกถึงเรื่องของเซี่ยงฉิงขึ้นมาได้จึงรีบเล่าให้เขาฟัง “ประธานลู่ เซี่ยงฉิงกับฉีซิ่วหรานตกลงจะแต่งงานกันเดือนหน้านะ”
“เร็วจริง”
ฉันพยักหน้า “เซี่ยงฉิงกำลังท้อง ถ้ารอช้ากว่านี้เดี๋ยวท้องใหญ่ขึ้น ตอนแต่งงานจะดูไม่ดี”
ฉันพูดเรื่องนี้เพราะอยากลองหยั่งเชิงเขาดู แต่เมื่อพูดจบลู่จือสิงกลับทำเพียงแค่หันมามองฉันนิดหนึ่ง “ที่คุณพูดก็ถูก”
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ฉันก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะงานยุ่ง แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่จะจดทะเบียนกันเขาดูรีบร้อนมาก ทว่าพอจดทะเบียนแล้วกลับไม่เคยพูดถึงเรื่องการจัดงานแต่งเลย จนฉันไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาคิดอย่างไรกันแน่
ฉันคิดไม่ออกจริงๆ พอคิดเรื่องนี้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองต้องเสียเวลาเปล่าทุกที
“อ้อ... วันที่ 5 เดือนหน้าฉันต้องไปที่เมือง J นะ โครงการของปีก่อนยังไม่เรียบร้อยน่ะ”
“วันที่ 5 หรือ?”
ฉันพยักหน้ารับ “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า วันนั้นผมก็ต้องไปเมือง R พอดี”
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องพาเป้ยเปยไปฝากพ่อแม่ของชวี่ชิงหนานอย่างช่วยไม่ได้
วันต่อมาขณะที่กำลังทำงาน เซี่ยงฉิงก็มาบอกฉันว่าฉีซิ่วหรานต้องการเชิญฉันกับถงเจียหลินไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันไม่อาจปฏิเสธและมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แถมยังเป็นเรื่องยากมากที่คนเก็บตัวอย่างเขาจะมีความกังวลอะไรแบบนี้
ลู่จือสิงบอกว่าอยากไปด้วยเมื่อฉันบอกเรื่องนี้กับเขา แต่ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าสัปดาห์นี้ฉันขอให้ป้าจ้าวทำงานล่วงเวลามาสองวันแล้วเพราะไม่มีใครดูแลเป้ยเปย
หลังจากคิดแล้วฉันจึงปรึกษาเรื่องนี้กับลู่จือสิงและขอให้เขาไปรับฉันก่อนเวลาเลิกงานสิบนาที แล้วเราค่อยกลับบ้านไปรับเป้ยเปย
พอเซี่ยงฉิงและถงเจียหลินรู้เข้าต่างก็ส่งเสียงดังเอะอะเพราะอยากเจอเป้ยเปย อีกทั้งฉีซิ่วหรานก็ไม่ได้เจอเขามานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ฉันคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว
หลังจากหารือกันแล้วฉันจึงเริ่มสะสางงานที่คั่งค้าง แม้ว่าจะนัดกันไว้ว่าตอนหนึ่งทุ่มแต่ฉันก็ไม่อาจทำงานเกินเวลาได้ เพราะคิดว่าคงไม่ดีแน่ถ้าต้องปล่อยให้ทุกคนรอ
เมื่อวานฉันทำงานเรื่อยๆ สบายๆ แต่วันนี้กลับยุ่งจนหัวฟู
ตอนพักเที่ยงฉันกินข้าวเสร็จตั้งแต่ยังไม่บ่ายโมงแล้วรีบกลับมาเขียนแผนงานต่อ เพราะกลัวว่าจะต้องทำงานล่วงเวลาจึงไม่กล้าหยุดพักในช่วงพักกลางวัน
ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาดูนาฬิกา ถ้าไม่ใช่เพราะลู่จือสิงส่งข้อความมาหาฉันคงไม่รู้ว่าตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานเต็มทีแล้ว
ฉันกวาดตามองแผนงานในเอกสาร เมื่อเห็นว่ายังเหลืออีกหนึ่งจุดที่ต้องจัดการจึงบอกให้ลู่จือสิงสิงรอก่อนแล้วรีบเขียนงานต่อจนเสร็จ
ฉันรีบร้อนเก็บข้าวของเพื่อเลิกงาน ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับก่อนเวลาสิบนาที แต่พอเอาเข้าจริงทันทีที่ฉันเข้าไปในลิฟต์ เสียงออดเลิกงานก็ดังขึ้นพอดี
ถึงอย่างไรลู่จือสิงก็เป็นเจ้านายคนหนึ่ง ฉันจึงรู้สึกผิดจริงๆ ที่ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ “ฉันไม่คิดว่าวันนี้จะมีงานเยอะขนาดนี้”
“ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้ ผมไม่หนีไปไหนหรอก”
ฉันมัวแต่พูดจนลืมรัดเข็มขัดนิรภัย พอเห็นลู่จือสิงเอื้อมมือมารัดเข็มขัดให้ฉันก็รู้สึกวาบหวามในใจขึ้นมา “กลัวว่าคุณจะรอน่ะ”
“ถ้าเป็นคุณหญิงลู่ละก็ นานแค่ไหนผมก็รอได้”
“แน่ะๆ ทำเป็นปากหวาน”
ฉันทำเป็นพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจนั้นอ่อนยวบ
แม้ว่าวันนี้จะออกมาเร็วกว่าเวลาปกติเพียงสองนาที แต่การจราจรเบาบางกว่าเดิมมากจึงทำให้เรากลับมาถึงบ้านตั้งแต่ก่อนเวลา 6:20 น.
ป้าจ้าวเอ่ยทักทายฉัน และตอนนี้เป้ยเปยก็แต่งตัวรอเรียบร้อยแล้ว
“ต้องรบกวนป้าจ้าวอีกแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้