หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 264

เซี่ยงฉิงเป็นคนที่ไม่มีความละเอียดอ่อนเลยจริงๆ ผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเธอก็ลืมเรื่องที่ฉันกับถงเจียหลิน “เค้นคำตอบ” จากเธอเมื่อเช้านี้เสียแล้ว

เมื่อฉันกับถงเจียหลินชวนเธอไปกินข้าว เธอก็รีบกุลีกุจอมาหา “กลางวันนี้กินอะไรกันดี”

“อาหารฝรั่ง วันนี้ฉันอารมณ์ดี เดี๋ยวฉันเลี้ยงพวกคุณเอง! จองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้วด้วย!”

ฉันชิงพูดตัดหน้าถงเจียหลิน

ฉันเองไม่ได้กินอาหารฝรั่งมานานแล้ว แถมเซี่ยงฉิงก็กำลังตั้งท้องจึงกินอาหารบางอย่างไม่ได้ ฉันเลยเลือกอาหารที่พื้นๆ ไว้ก่อน

บริเวณที่นั่งที่ฉันเลือกไว้ค่อนข้างสงบและเป็นส่วนตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมารบกวนหรือกลัวว่าเพื่อนร่วมงานจะมาได้ยินเข้า

ขณะที่ฉันกำลังจะถามเซี่ยงฉิงเรื่องเมื่อวาน โทรศัพท์ก็สั่นเตือนขึ้นมาก่อน พอหยิบขึ้นดูจึงพบว่าเป็นข้อความจากเจิ้งเยว่

“ซูยุ่น! ผู้จัดการของเราเปลี่ยนใจแล้ว แถมยังบอกให้พวกเราร่วมมือกับคุณอย่างเต็มที่ด้วย!”

ปกติเจิ้งเยว่ดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมมาก นานๆ ทีจึงจะเห็นเธอตื่นเต้นดีใจขนาดนี้

แล้วฉันก็หันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้าต่อ ฉันเงยหน้ามองเซี่ยงฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ถงเจียหลิน ยกน้ำขึ้นมาจิบพลางเอ่ยกับเธอว่า “เอาละ คุณกำลังปิดบังอะไรฉันกับเจียหลินอยู่”

“เปล่า ไม่มี ไม่มีจริงๆ!”

ฉันทำเสียงฮึในลำคอเบาๆ “เซี่ยงฉิง คุณจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ มาถึงขนาดนี้แล้วทำไมยังต้องปิดบังพวกเราอีก? เราเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่หรือ คนเป็นเพื่อนเขาทำกันแบบนี้หรือ?”

ทันทีที่ฉันพูดจบ ถงเจียหลินก็เสริมขึ้นมาว่า “ใช่ เราไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าเราจะบอกใครหรอก ฉันกับซูยุ่นจะเก็บเป็นความลับอย่างดีเลย!”

ฉันอดหัวเราะคำพูดของถงเจียหลินไม่ได้

เซี่ยงฉิงมองมาที่ฉันก่อนจะหันไปกลับมองถงเจียหลินอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นกังวล

แม้จะไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไรถึงอยากปิดเป็นความลับ แต่ฉันก็จะไม่แซวเธอแล้ว

ฉันเหลือบมองถงเจียหลิน เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีความเห็นใดๆ ฉันจึงเอาข้อความที่ฉีซิ่วหรานตอบฉันมาให้เธอดู “เอาละ ไม่ต้องปิดบังแล้ว เรารู้หมดแล้ว!”

เซี่ยงฉิงที่กำลังดื่มน้ำเกือบจะพ่นน้ำใส่ฉันอย่างกลั้นไม่อยู่

ฉันรู้สึกขันหน่อยๆ “คุณแค่แต่งงานเองนะ ถึงกับเครียดขนาดนี้เลยหรือ?”

นานๆ ทีเซี่ยงฉิงจะมีท่าทีเขินอายแบบนี้ เธอหยิบทิชชูของถงเจียหลินขึ้นมาเช็ดปาก “ฉันไม่ได้คิดจะปิดบังพวกคุณ แต่แค่ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี”

ฉันพอใจแล้ว “เมื่อวานฉันหาโอกาสให้คุณกับฉีซิ่วหรานได้คุยกัน ไหนเล่ามาซิว่าสุดท้ายแล้วพวกคุณคุยกันยังไงถึงได้ไปจดทะเบียนกัน?”

เซี่ยงฉิงมองฉันอย่างเขินอาย แต่ก็ยอมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง “จริงๆ เมื่อวานนี้ฉันอยากคุยกับเขาดีๆ... หลังจากมารับฉันที่ทำงาน เขาก็พาฉันไปกินข้าว แล้วตอนกินข้าวอยู่เขาก็ถามฉันว่าจะจัดการกับเด็กยังไง ตอนนั้นฉันโกรธมาก ยกแก้วขึ้นมาจะสาดน้ำผลไม้ใส่เขา แต่เขาเอื้อมมือมาหยุดไว้ แล้วบอกว่าฉันกำลังเข้าใจเขาผิด”

เธอหยุดดื่มน้ำนิดหนึ่ง “ตอนนั้นฉันโมโหมากจนไม่ยอมฟังที่เขาพูด หลังจากนั้นอยู่ๆ เขาก็จูบฉัน ที่ร้านอาหารนั่นแหละ... มะ... มีคนอยู่ตั้งหลายสิบคน หลัง... หลังจากนั้นฉันก็นิ่งไปเลย แล้วเขา... เขาก็ขอฉันแต่งงาน เขาบอกว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้เด็กเกิดมาทั้งแบบนี้ เขาหวังว่าฉันจะให้โอกาสเขาได้ทำหน้าที่พ่อของลูก”

“ตอนนั้นในหัวฉันว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาพูดอะไรบ้าง ฉันมัวแต่ตะลึง จนทุกคนในร้านปรบมือและเชียร์ว่า ‘แต่งเลย’ ‘แต่งเลย’... ฉันยังไม่ทันพูดอะไร อยู่ๆ เขาก็สวมแหวนลงมาที่นิ้วนางข้างซ้ายของฉัน หลังจากนั้น... หลังจากนั้นเขาก็พาฉันไปจดทะเบียน”

ฉันแปลกใจเล็กน้อยหลังจากฟังเซี่ยงฉิงเล่าจนจบ รู้สึกว่าฉีซิ่วหรานที่เธอพูดถึงเหมือนเป็นคนละคนกับฉีซิ่วหรานที่ฉันรู้จัก

ฉันกำลังจะเอ่ยปากแต่ถงเจียหลินชิงพูดขึ้นก่อน “คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายขอแต่งงานก่อน?”

“นี่!”

ฉันมองเซี่ยงฉิงแล้วหัวเราะออกมา “ที่จริงฉันก็อยากจะถามแบบนั้นอยู่พอดี”

“เป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่าเนี่ย!”

“เป็นๆๆ! คุณอยากกินอะไร สั่งมาได้เลย!”

ฉันไม่เคยคิดเลยว่ากลยุทธ์การจู่โจมแบบถอยแล้วค่อยรุกของฉีซิ่วหรานจะรุนแรงและรวดเร็วกว่าวิธีใดๆ

“แล้วพวกคุณวางแผนจะจัดงานแต่งกันเมื่อไร? ตอนนี้คุณท้องเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ถ้าปล่อยให้ท้องโตกว่านี้ตอนใส่ชุดแต่งงานจะไม่สวยนะ!”

พอได้ยินคำพูดของถงเจียหลิน ฉันก็พลันนึกถึงตัวเองกับลู่จือสิงขึ้นมา

ฉีซิ่วหรานและเซี่ยงฉิงจดทะเบียนและเตรียมแต่งงานกันแล้ว ทว่าฉันกับลู่จือสิงกลับยังไม่ได้จัดงานแต่งกันเลย

พูดไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของฉันหรือเขากันแน่

ฉันดึงความคิดกลับมาเพราะไม่อยากคิดมาก จึงพูดคล้อยตามถงเจียหลินไปว่า “ใช่สิ นี่ก็เกือบจะเดือนมีนาแล้ว แต่งงานเดือนมีนาก็ดีเหมือนกันนะ”

ฉันแค่อยากแซวความสัมพันธ์ที่ความคืบหน้าไปไกลของพวกเขาสองคน ไม่คิดว่าเซี่ยงฉิงจะเบิกตามองฉัน “ทำไมคุณคิดเหมือนเขาเลย!”

“...”

คงต้องบอกว่าเมื่อใดที่พวกผู้ชายเริ่มรู้แจ้ง คุณก็ไม่มีทางหยุดเขาได้อีกต่อไป

หลังจากถามเรื่องอื่นๆ ต่อไปอีก เซี่ยงฉิงจึงบอกให้ฉันกับถงเจียหลินรู้ว่าฉีซิ่วหรานได้ไปเจอพ่อแม่ของเธอมาแล้ว

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงพ่อแม่ของฉีซิ่วหราน แม่ของเขาเป็นคนดีและมักไม่เข้ามาก้าวกายชีวิตส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว

ฉันบอกเลยว่าแม้ระหว่างทางจะมีความยากลำบากอยู่บ้าง แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่า หลังจากนี้ก็แค่รอวันดีๆ ของพวกเขาที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

ระหว่างทางกลับสำนักงาน อยู่ๆ เซี่ยงฉิงก็ถามฉันว่า “พูดถึงเรื่องนี้ ฉันกับฉีซิ่วหรานจดทะเบียนกันแล้ว ทำไมคุณกับประธานลู่ถึงยังไม่แต่งงานกันอีกล่ะ?”

ฉันไม่คิดว่าเซี่ยงฉิงจะสังเกตเห็นปัญหานี้ จึงยิ้มให้เธอนิดๆ “ช่วงนี้ยุ่งๆ อยู่นะสิ เคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที!”

“แน่ะๆๆ คุณนี่ไม่ใส่ใจเลยจริงๆ!”

ฉันยิ้มโดยไม่พูดอะไรอีก

แต่หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ก็พบว่าช่วงนี้ฉันกับลู่จือสิงต่างก็ยุ่งกันมากจริงๆ

อีกประมาณครึ่งเดือนฉันก็ต้องไปเมือง J แล้ว ช่วงนี้ที่บริษัทของลู่จือสิงก็ดูเหมือนจะมีโครงการใหม่ เขาเคยบอกฉันว่าเดือนหน้าจะต้องเดินทางไปทำธุระที่อื่น

ยุ่ง... ยุ่งกันทั้งคู่จริงๆ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉันจึงไม่มัวมาคิดถึงปัญหานี้ให้วุ่นวายอีกต่อไป

วันนี้ฉันเลิกงานตรงเวลา แต่พอลงมาถึงชั้นล่างกลับยังไม่เห็นวี่แววของลู่จือสิง

ฉันรออยู่เพียงสองนาทีเขาก็โทรมาหา

เขาบอกว่าตอนนี้รถติดนิดหน่อยและบอกให้ฉันรออยู่ที่สำนักงานก่อน

ที่ล็อบบี้อากาศหนาวมาก แต่ฉันขี้เกียจกลับขึ้นไปรอที่สำนักงานจึงเดินไปรอข้างใน

ถงเจียหลินที่เพิ่งลงมาแปลกใจเล็กน้อยที่เจอฉัน “ทำไมคุณยังไม่กลับอีกล่ะ?”

ฉันจำได้ว่าบ้านของเธอก็อยู่แถวนั้นจึงเตือนไปว่า “ดูเหมือนจะเกิดอะไรขึ้นแถว xx รถเลยติดนิดหน่อย เขาเลยจะมาถึงช้าหน่อยน่ะ”

เธอพยักหน้ารับรู้ “ทำไมคุณไม่ขึ้นไปรอข้างบนล่ะ”

ฉันส่ายหน้ายิ้มๆ “ช่างเถอะ ฉันขี้เกียจขึ้นไปน่ะ”

หลังจากรอเกือบยี่สิบนาทีลู่จือสิงก็มาถึง

ตัวฉันสั่นไปหมดตอนที่รับสายเขา

เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแล้ว แต่ฉันยังมองเห็นรถของลู่จือสิงที่กำลังแล่นตรงมา

ทันทีที่ขึ้นรถเขาก็เอื้อมมือมากุมมือฉัน ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดทันที “ทำไมมือคุณเย็นอย่างนี้ล่ะ”

ฉันยิ้ม “หนาวน่ะ”

“ผมบอกให้คุณขึ้นไปรอที่สำนักงานไม่ใช่หรือ”

ฉันไม่ตอบ “รีบกลับดีกว่า เกือบทุ่มนึงแล้ว!”

เขาเหลือบมองฉันก่อนจะยื่นมือมาดีดที่หน้าผากฉันไปหนึ่งที “โง่จริง”

พูดจบเขาก็รั้งท้ายทอยของฉันเข้าไปหาแล้วโน้มศีรษะลงมาจูบฉัน

เนิ่นนานกว่าเขาจะปล่อยฉันเป็นอิสระ “ต่อไปถ้าผมไม่ส่งข้อความไปหา คุณอย่าลงมาอีกนะ เข้าใจไหม”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้