“เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรหรือ?”
ลู่จือสิงเบนสายตามามองฉัน ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่มีอะไร ฉันไปทำงานก่อนนะ”
ฉันพูดแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถ
ทันทีที่เข้าไปในสำนักงานฉันก็เห็นเซี่ยงฉิงกำลังนั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะของเธอ ฉันเลิกคิ้วนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยเรียก “เซี่ยงฉิง”
“อรุณสวัสดิ์ซูยุ่น”
เธอเงยหน้ามองฉัน แสร้งทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ
ฉันก้าวเข้าไปหาเซี่ยงฉิง วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะแล้วจ้องมองเธอ “เซี่ยงฉิง คุณกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่า”
ทันทีที่ฉันพูดจบเธอก็หลบตาและถึงกับสำลักอาหาร
ฉันรีบไปหยิบน้ำมาให้ “คุณกำลังปิดบังฉันอยู่จริงๆ ด้วย แอบไปทำอะไรมาหรือเปล่า”
ฉันลดเสียงถามเบาๆ เนื่องจากตอนนี้ในออฟฟิศมีคนอยู่เยอะ
เซี่ยงฉิงดื่มน้ำไปสองแก้วก่อนจะเงยหน้ามองฉัน เธอดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด “แอบไปทำอะไร...
มีอะไรทีไหนกัน”
“ใครแอบไปทำอะไร?”
ถงเจียหลินเดินเข้ามาพอดี ฉันสบตาเธอนิดหนึ่งแล้วลดเสียงลงบอกว่า “ฉันคิดว่าเซี่ยงฉิงมีอะไรปิดบังพวกเรา
อยู่ละ”
ฉันพูดพลางขยิบตาให้เธอ
ถงเจียหลินเข้าใจทันทีว่าฉันหมายถึงอะไร เธอยิ้มให้ฉันนิดหนึ่งก่อนจะหันไปมองเซี่ยงฉิงด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ “ใช่ เซี่ยงฉิง วันนี้คุณดูสดชื่นจังเลยนะ”
“ฉัน... เมื่อคืนฉันเข้านอนเร็วน่ะ!”
เซี่ยงฉิงเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย
ขณะนี้ในสำนักงานคนเริ่มเยอะขึ้น ฉันจึงยังไม่คิดจะซักถามอะไรต่อ
หวางเสี่ยวซินและคนอื่นๆ กลับเข้ามาพอดี เนื่องจากเมื่อวานเรายังประชุมไม่เสร็จ หวางเสี่ยวซินจึงเรียกให้พวกเราเข้าไปประชุมต่อเรื่องที่คุยกันค้างไว้
ฉันเอามือแปะบนไหล่ของถงเจียหลินพลางกระซิบให้ได้ยินกันสองคนว่า “ตอนพักเที่ยงเราค่อยถามอีกที!”
เธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ฉันหันไปมองเซี่ยงฉิงด้วยสายตาที่มีความหมายก่อนจะออกไป พอเห็นเธอหรี่ตามองมา ฉันก็อดขำไม่ได้
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมฉันจึงรีบเปิดคอมพิวเตอร์ แต่ทันใดนั้นเจิ้งเยว่ก็เรียกหาฉัน
เธอขอให้ฉันยืนยันเวลาก่อนหน้านี้ของเมือง J ฉันคิดแล้วจึงบอกเธอว่าเมื่อ 5 วันก่อน
หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว เธอก็เล่าปัญหาที่ยังคิดไม่ตกอีกอย่างหนึ่งนั่นคือผู้จัดการของพวกเธอขอให้จ้างดาราที่มีชื่อเสียงมาคนหนึ่ง แต่ว่าเราคำนวณงบค่าใช้จ่ายทุกอย่างสำหรับงานนี้ไว้พอดีหมดแล้ว
เพื่อการประชาสัมพันธ์เราจึงมักจะนึกถึงผลลัพธ์ในจุดต่างๆ อยู่แล้ว
ทว่าฉันกับเจิ้งเยว่ต่างก็คิดว่าเราไม่ควรจ้างดารามีชื่อเสียงมากนัก เพราะดาราดังเหล่านี้ค่าตัวแพงเกินไป สำหรับดาราแถวหน้าของวงการ แค่ออกมาโชว์ตัวครึ่งชั่วโมงก็ค่าตัวหลักล้านเข้าไปแล้ว
ครั้งนี้บริษัทของพวกเขามีงบประมาณเยอะและไม่ใช่ว่าจะจ่ายไม่ได้ เพียงแต่พวกเราจัดการงบประมาณสำหรับทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วในขั้นเตรียมงาน หากพูดว่าไม่กี่หมื่นก็อาจจะพอแบ่งสรรแล้วรวบรวมมาได้ แต่ว่าเงินหลายล้านขนาดนี้ยังไงก็แบ่งไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะล้มเลิกโครงการบางอย่างไปเท่านั้น
ทว่าเราเตรียมการทุกอย่างมานานมากแล้วจึงไม่มีทางจะล้มเลิกได้เลย
ฉันทำงานกับเจิ้งเยว่มานานร่วมสามเดือน เธอเป็นคนนิสัยดีและทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระบบระเบียบ แถมยังเป็นผู้นำที่ดีมาก
ฉันคนหนึ่งละที่ชื่นชมเธอมาก ทุกวันนี้เราแทบจะนับเป็นเพื่อนกันแล้ว
เจิ้งเยว่บอกเรื่องนี้กับฉันในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง และถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงและหยุดมันได้
ฉันไม่อยากจะพูดอะไรแล้วเพราะรู้ตัวว่าเป็นแค่คนคอยให้คำปรึกษาที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ จะไปออกความคิดเห็นเรื่องใหญ่ๆ อย่างนี้ได้อย่างไร
เจิ้งเยว่อารมณ์ไม่ดี ฉันเองก็อารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน
ฉันเห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน หากบอกให้เปลี่ยนบางส่วนของโครงการก็คงต้องเปลี่ยน ทั้งหมดนี้ทำให้ความพยายามในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาของเราแทบจะไม่มีความหมาย
“คุณคุยเรื่องนี้กับจั๋วหรันหรือยัง”
แม้ว่าการรายงานข้ามขั้นอย่างนี้จะไม่ค่อยดี แต่ฉันคิดว่าผู้จัดการคนนี้ทำตามอำเภอใจเกินไปหน่อย
เจิ้งเยว่ไม่ได้ตอบฉันในทันที คิดว่าน่าจะกำลังยุ่งกับการจัดการเรื่องต่างๆ อยู่
หลังจากคิดๆ ดูแล้วฉันจึงค้นหารายละเอียดการติดต่อของจั๋วหรันในรายชื่อผู้ติดต่อจนเจอ
ฉันเพิ่มหมายเลขนี้มาสักพักหนึ่งแล้วแต่ไม่เคยโทรไปหาเลยสักครั้ง
จั๋วหรันคงกำลังยุ่งอยู่เหมือนกันเพราะฉันโทรไปสองรอบแต่ไม่มีคนรับสาย ในเมื่อทุกคนกำลังยุ่งฉันจึงทำได้แค่รอให้เขาติดต่อกลับมาเอง
โชคดีที่จั๋วหรันโทรกลับมาพอดีตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ
ตอนนั้นฉันกำลังทำรายละเอียดโครงการของบริษัทจินเฉิง กว่าจะรู้ตัวโทรศัพท์ก็สั่นมาสักพักแล้ว
เมื่อเห็นว่าจั๋วหรันโทรติดต่อมาฉันจึงรีบออกไปรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะรองประธานจั๋ว”
“สวัสดีคุณซู ไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้”
แม้ว่าฉันจะเคยติดต่อกับจั๋วหรันไม่บ่อยนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนมีเหตุผลมาก
ฉันเลิกทำตัวเป็นทางการกับเขาและพูดอย่างตรงไปตรงมา “รองประธานจั๋ว คือว่าฉันได้ยินมาว่าบริษัทของคุณอยากจะเปลี่ยนรางวัลของโครงการเป็นการเชิญดารามาแทนหรือคะ?”
“หืม?”
เพราะเขาส่งเสียงมาแค่คำเดียวฉันเลยไม่แน่ใจว่าเขารู้เรื่องนี้แล้วหรือเปล่า
หลังจากคิดแล้วฉันจึงตัดสินใจแสดงความคิดเห็นออกไป “ฉันรู้ว่าแบบนี้มันออกจากดูบุ่มบ่ามไปหน่อย แต่ในฐานะที่ฉันเป็นหนึ่งในคนวางแผน ซึ่งจริงๆ ฉันไม่ควรโทรหาคุณเลย แต่ฉันแค่อยากให้แน่ใจว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่บริษัทของคุณคิดไว้จริงๆ ใช่ไหม ถ้าใช่ฉันจะได้ปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมที่สุด”
ทันทีที่ฉันพูดจบเขาก็บอกว่า “รอสักครู่นะครับคุณซู”
เขาไม่ได้วางสาย ฉันจึงเข้าใจสถานการณ์ของทางนั้นได้อย่างชัดเจน
“เลขาจ้าว มีการเปลี่ยนแผนเดิมของโครงการหรือ”
“เรื่องนี้อาจจะต้องถามผู้จัดการหลี่ค่ะรองประธานจั๋ว”
“ไม่ต้องถามแล้ว บอกเขาไปว่าให้ใช้แผนเดิม”
ฉันฟังออกว่าจั๋วหรันมีอารมณ์ขุ่นมัวนิดหน่อยขณะที่พูดประโยคเมื่อครู่
มือที่ถือสายรอสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ คิดว่าการที่ฉันโทรไปครั้งนี้อาจเป็นการบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ
“คุณซู ยังอยู่ไหมครับ”
ฉันรีบดึงสติกลับมาเมื่อได้ยินเขาถาม “อยู่ค่ะรองประธานจั๋ว”
“ผมอ่านแผนเดิมของพวกคุณแล้ว แบบเดิมเป็นยังไงก็ให้เป็นไปตามนั้น ทางบริษัทของเราจะพยายามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”
ฉันรู้สึกยินดีมากๆ “ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะรองประธานจั๋ว!”
“ด้วยความยินดีครับ”
พอวางสายไปแล้วฉันก็รู้สึกว่ามันเหมือนมีปาฏิหาริย์มาโดยตลอด
เมื่อกลับมาที่โต๊ะ เจิ้งเยว่ที่ยุ่งจนไม่มีเวลาตอบฉันเมื่อครู่นี้ก็ตอบมาแล้ว “ใช่ ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น! น่าอายจริงๆ เป็นเพราะทางเราแท้ๆ ถึงต้องมาแก้แผนงานในเวลาจวนตัวแบบนี้”
เธอส่งข้อความมาแค่นี้แล้วก็หายเงียบไปเลย
พอดูเวลาอีกทีฉันก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาพักกลางวันแล้ว
เมื่อคิดว่าหลังจากนี้ยังต้อง “สอบปากคำ” เซี่ยงฉิงอีก ฉันจึงรีบหยิบโทรศัพท์โทรไปนัดหมาย
เรียบร้อย... ฉันจัดการเรื่องต่างๆ ของบริษัทจินเฉิงต่อจนกระทั่งถงเจียหลินเรียกฉัน “ไปกินข้าวกันซูยุ่น!”
เมื่อได้ยินเธอเรียกฉันจึงรีบบันทึกไฟล์ข้อมูลจากนั้นจึงปิดคอมพิวเตอร์ทันที “มาแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้