ลู่จือสิงเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ออดประตูก็ดังขึ้น ฉันไม่ทันได้คิดว่าเป็นใครก็ไปเปิดประตู เป็นจงฮุ่ยหราน สีหน้าฉันเปลี่ยนไปเล็กน้อย: “คุณจง”
ฉันยืนอยู่ตรงทางเข้าประตู ไม่คิดจะให้เธอเดินเข้าไปข้างใน
แต่เธอไม่คิดจะเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย เธอเข้ามาประชิดตัวทำให้ฉันต้องถอยหลังกลับ: “ทำไม ไม่คิดจะให้ฉันเข้าไปงั้นหรือ?”
ระหว่างที่พูดคนก็เดินเข้าไปแล้ว ฉันยังจะพูดอะไรได้ จะไล่ให้ออกไปก็ดูไม่ดี จึงปิดประตูเดินเข้าไปริมน้ำให้: “เชิญนั่งค่ะ”
“ขอบใจ ในเมื่อเธอได้จดทะเบียนสมรสกับจือสิงแล้ว ก็ควรเรียกฉันว่าแม่ซักคำนะ”
ฉันไม่ตอบ ฉันเคยเห็นท่าทีที่ลู่จือสิงมีต่อเธอแล้ว ในเมื่อฉันแต่งงานกับลู่จือสิงแล้ว ฉันก็ย่อมยืนอยู่ฝั่งเดียวกับลู่จือสิง
เธอยิ้มเย็นๆ ให้กับตัวเอง: “ช่างเถอะ ฉันก็ไม่อยากฝืนใจเธอ เธอเองก็ไม่รู้บุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนอย่างพวกเราอยู่แล้ว” เธอพูดแล้วก็เอาแก้วน้ำในมือวางลง: “ซูยุ่น เรื่องที่เธอทำลงไปเมื่อวานนี้มันดูไม่งามเลย เธอรู้มั้ยว่าคุณพ่อของจือสิงโกรธเธอมากขนาดไหน?”
ฉันเม้มริมฝีปาก แต่ก็ยังไม่ตอบกลับไป ใบหน้าเธอดูไม่ค่อยพอใจนัก: “ฉันกำลังพูดกับเธออยู่ เธอไม่ได้ยินหรือ?”
ในเมื่อเธอพูดขนาดนี้ ฉันก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว จึงพูดด้วยความจำใจ: “ได้ยินค่ะ แต่คุณจงคะ จือสิงไม่ทราบเรื่องค่ะ แต่ที่ฉันไปก่อเรื่องวุ่นวายในงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะทราบดีอยู่แล้วนะคะ?”
จะพูดอย่างไรพวกเขาสองคนก็เป็นสามีภรรยากัน ลู่เว่ยกั๋วคงให้เธอออกหน้ามาเกลี้ยกล่อมฉัน ถ้าเกลี้ยกล่อมไม่ได้ ก็คงไปทำอะไรลับหลัง เรื่องเหล่านี้จงฮุ่ยหรานไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่อง
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ พอฟังคำพูดของฉันแล้ว สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป เสียงก็สูงขึ้นกว่าเดิมมาก: “ซูยุ่น เธอจะให้ความเคารพผู้อาวุโสซักหน่อยไม่ได้เลยหรือ”
เธอโมโหแล้ว ฉันก็อดไม่ไหวส่งเสียง ฮึ ออกมาอย่างเย็นชา: “ถ้าหากฉันไม่เคารพผู้อาวุโส ป่านนี้คุณคงไม่ได้มานั่งตรงนี้แล้วค่ะ!”
จงฮุ่ยหรานหน้าซีดลง นิ้วชี้มาทางฉัน: “เธอ ท่าทีอะไรของเธอเนี่ย!”
ฉันมองมาดามแล้วก็เริ่มเงียบ มาดามเองก็ไม่พูดต่อ มองฉันอย่างโกรธเคือง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดมาดามก็เริ่มพูดกับฉันอีกครั้ง: “ช่างเถอะ เธอกับจือสิงก็ได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว จือสิงเป็นเด็กที่มีความคิดมาตั้งแต่เล็ก ฉันกับพ่อของเขาอายุมากแล้ว ก็คงไปยุ่งวุ่นวายอะไรไม่ได้มากนัก”
มาดามดื่มน้ำแล้วก็พูดต่อ: “ในเมื่อเธอจดทะเบียนสมรสกับจือสิงแล้ว ก็ถือว่าเป็นสะใภ้ของบ้านสกุลลู่ ท่าทีเมื่อวานของเธอกับจือสิงทำให้ท่านเสียใจมาก ถ้าเธอมีเวลาก็ช่วยเกลี้ยกล่อมจือสิงให้มากหน่อย ให้เขามีเหตุผลกว่านี้ อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ ยึดติดอยู่กับเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ยอมปล่อยวาง ก่อเรื่องจนทุกคนไม่สบายใจกันอีก”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของมาดามทำให้ฉันรับมือไม่ทัน ฉันเองก็ไม่อยากชวนทะเลาะอีกแล้ว จึงตอบรับคำไป: “ลู่จือสิงก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เขารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ค่ะ เอาเป็นว่าสิ่งที่คุณพูด ฉันจะลองพูดเป็นครั้งคราวดูนะคะ”
คงเป็นเพราะท่าทีที่โอนอ่อนของฉันทำให้เธอพึงพอใจ สีหน้าของจงฮุ่ยหรานจึงดีขึ้นมาก: “เธอช่วยเกลี้ยกล่อมได้ก็ดีแล้ว จริงๆ แล้วคุณพ่อของเขาเรียกเขาให้กลับไปแล้ว ที่ฉันมาที่นี่ฉันก็ปิดบังเขาเอาไว้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ฉันมาที่นี่เธอก็อย่าพูดออกไปล่ะ”
เธอพูดเสร็จก็ยืนขึ้น: “ฉันกลับก่อนล่ะ ถ้าเธอกับจือสิงมีเวลาก็ไปนั่งที่บ้านบ่อยๆ แล้วกัน”
ฉันไม่ได้ตอบกลับไป จากนั้นจึงไปส่งเธอที่ประตูทางเข้า มองเธอเดินจากไป
ฉันยังไม่โง่ขนาดนั้นที่จะไปพูดเกลี้ยกล่อมลู่จือสิงตามที่รับปากไว้ ฉันเองก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวภายในบ้านตระกูลลู่ นิสัยของลู่จือสิงแข็งกระด้างมาตั้งนานแล้ว ถ้าฉันยื่นมือเข้าไป สุดท้ายคนที่ขาดทุนก็คือตัวฉันเอง
จงฮุ่ยหรานทำเช่นนี้ก็ถือว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง แต่ฉันมักจะรู้สึกว่าเธอมีอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่
ส่งจงฮุ่ยหรานเสร็จแล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี ลู่จือสิงยังไม่กลับมา ฉันจึงต้มมาม่าทานแบบง่ายๆ ไปก่อน
พอทานอาหารเสร็จ ฉันก็ไม่มีอะไรทำ แต่จะนอนกลางวันเลยก็ไม่ดี จึงแวะไปเดินเล่นในห้องหนังสือ
โต๊ะดูรกรุงรังหน่อยๆ ฉันกะจะช่วยลู่จือสิงเก็บข้าวของ บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นกล่องใส่แหวนผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้า
ฉันหักห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้จึงลองเปิดดู เป็นแหวนรูปทรงเรียบง่าย ตัวเพชรบนแหวนไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังดี ส่องแสงระยิบระยับไม่หยุดหย่อน
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ก็แค่อยากลองสวมแหวนดูว่าจะใช่ขนาดของตัวเองหรือไม่ จึงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางอย่างอดใจไม่อยู่
ฉันตกตะลึงเมื่อขนาดแหวนพอดีกับนิ้วฉัน ฉันนึกถึงตอนที่ลู่จือสิงบอกฉันเกี่ยวกับการแต่งงานก่อนหน้านี้ ทำให้เบ้าตาฉันแดงขึ้นมาทันที
“สวยมั้ยครับ?”
เสียงของลู่จือสิงดังมาจากทางเข้าประตู ฉันหันไปมองเขา เห็นเขากำลังเดินเข้ามาทีละก้าวๆ ฉันตั้งสติเอาแหวนออกจากนิ้วมือ แต่ไม่รู้เป็นเพราะรีบร้อนเกินไปหรือเปล่า เมื่อครู่นี้ยังสวมเข้าไปได้ง่ายๆ อยู่เลย มาตอนนี้กลับถอดแหวนไม่ออก
แค่ช่วงพริบตา เขาก็เดินมาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว
ฉันมองเขาอย่างยุ่งเหยิงใจ: “ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ เดี๋ยวฉัน คือ..........ฉันจะถอดออกเดี๋ยวนี้ค่ะ!”
ฉันพูดออกไปด้วยความเร่งรีบ แล้วจึงออกแรงถอดแหวน
สักพักก็มีความอบอุ่นปรากฏอยู่บนมือ มือใหญ่กำลังกดมือของฉันเอาไว้ ฉันตกใจมองไปที่เขา: “ฉัน....ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ......”
“ไม่ต้องถอดหรอก เดิมทีก็จะให้คุณอยู่แล้ว”
คำพูดของเขาทำให้ฉันตกตะลึง ไม่อาจจะเชื่อได้: “จริงหรือคะ?”
เขาเหล่ตามองมาที่ฉันยิ้มเหมือนไม่ยิ้มออกมา: “คุณสวมได้พอดีเลยไม่ใช่หรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้