ฉันไม่คิดว่าลู่จือสิงจะทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะจงใจทำให้เกิดรอยจูบที่คอฉันเพียงเพื่อจะให้ชวี่ชิงหนานเห็น
เขาไม่รู้สึกขายหน้าแต่ว่าฉันรู้สึก...
แต่พอเห็นว่าเขาประหม่าถึงขนาดนี้ ฉันกลับรู้สึกหวานชื่นขึ้นมาในใจ
อันที่จริงการทำหน้าที่เลขาให้ลู่จือสิงนั้นมีงานต้องทำเยอะมาก หลี่จื้อดูแลฉันอย่างดี และแม้ว่าฉันเพิ่งเริ่มงานวันแรก แต่กลับมีเอกสารที่ต้องอ่านและมีใบคำร้องที่ต้องตรวจสอบอยู่อีกมาก
หลี่จื้อยุ่งกว่าฉันมาก เขาเพิ่งบอกให้ฉันจัดการเรื่องการเดินทางไปทำธุระต่างๆ ของลู่จือสิงอย่างละเอียดแล้วจึงกลับไปสะสางกองงานของตัวเองต่อ
วันนี้เพิ่งเป็นวันอังคาร แต่ในบันทึกรายการควรรู้ที่หลี่จื้อให้ฉันไว้เขียนว่าควรจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ มิฉะนั้นอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่ายหากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
หลี่จื้อจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว แต่เมื่อเปลี่ยนให้ฉันไปแทน ฉันจึงนึกได้ว่าต้องรีบโทรจองตั๋วเครื่องบินให้ตัวเอง
ทันทีที่ฉันจองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาที่แผนกต้อนรับ แจ้งว่าประธานจางจากบริษัทลู่หยวนมาถึงแล้ว ฉันจำได้ว่าลู่จือสิงสั่งให้รั้งประธานจางไว้ก่อนเป็นเวลายี่สิบนาที ฉันจึงบอกพนักงานต้อนรับไป
ฉันให้เขารอในห้องเล็กๆ ที่จัดไว้และยกกาแฟพร้อมของกินเล่นมาเสิร์ฟ จากนั้นจึงตั้งใจถอยออกมาเพื่อรอให้เวลาผ่านไป
“เดี๋ยวก่อน เลขาซู!”
ฉันหยุดเดิน ไม่คิดว่าประธานจางจะเรียกฉันไว้อีก “ประธานจาง ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ”
ประธานจางมองฉันยิ้มๆ “เลขาซู ฉันอยากถามว่าประธานลู่กำลังทำอะไรอยู่”
เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้กำลังหลอกถามฉัน รอยยิ้มบนใบหน้าของฉันจางลงเล็กน้อยก่อนจะตอบเลี่ยงๆ ไปว่า “ต้องขออภัยจริงๆค่ะท่านประธานจาง ช่วงนี้ประธานลู่มีงานเยอะมาก ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าท่านทำอะไรอยู่ ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอกลับไปทำงานต่อก่อนนะคะ”
ดูเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างฉันจึงรีบปลีกตัวไปก่อน
ปล่อยให้ประธานจางรอจนเวลาผ่านไปประมาณยี่สิบนาที ฉันจึงลุกไปเคาะประตูห้องทำงานของลู่จือสิง “เข้ามา”
แม้จะบอกไปก่อนนี้แล้ว แต่ประธานจางมองฉันอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ฉันจึงไม่ได้เข้าไป แต่ “เตือน” เขาว่า “ประธานลู่คะ คุณว่างแล้วหรือยัง ประธานจางมารอนานแล้ว”
“อืม”
ลู่จือสิงตอบอย่างเฉยเมย ประธานจางเองเมื่อได้ยินจึงลุกขึ้นเดินมาหาโดยที่ฉันยังไม่ทันพูดอะไร “ขอบคุณคุณมากเลขาซู”
ฉันยิ้มให้เขาตามมารยาทและเปิดประตูให้เข้าไป
ระหว่างกลับบ้านในตอนเย็นฉันจึงถามลู่จือสิงว่าทำไมต้องให้ประธานจางรอด้วย ลู่จือสิงทำเสียงฮึอย่างเย็นชา “เธอจำได้ไหมตอนเกิดเรื่องคืนนั้นใครเป็นคนส่งไวน์ให้เธอ”
เรื่องนี้ผ่านมาสามเดือนเกือบจะสี่เดือนแล้ว ทว่าฉันยังจำหลายๆ อย่างได้ แต่ตอนนั้นฉันลงจากเวทีโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่ลู่จือสิงถามแบบนี้แสดงว่าต้องมีเจตนาบางอย่าง ฉันนิ่งคิดนิดหนึ่งก็เข้าใจทันที “ใช่ลูกสาวของประธานจางหรือเปล่า”
“อืม”
ลู่จือสิงเพียงแค่ตอบรับสั้นๆ
ฉันไม่คิดว่าเขาปล่อยให้ประธานจางรอเพราะเรื่องนี้ พอนึกขึ้นมาฉันก็อดกังวลไม่ได้ “แบบนี้จะมีผลกระทบต่อโครงการของบริษัทไหม”
“เฟิงเหิงไม่ได้ด้อยไปกว่าบริษัทของเขา”
แม้น้ำเสียงของลู่จือสิงจะดูอวดดีแต่เขาก็พูดถูก ก่อนเลิกงานฉันดูข้อมูลบริษัทของประธานจาง เทียบกับเฟิงเหิงแล้วระดับยังห่างไกลกันมาก
ฉันหันไปมองลู่จือสิง แม้ว่าเขาจะดูบึ้งตึงและหยิ่งยโสจนน่าหมั่นไส้ แต่สิ่งที่เขาทำกลับทำให้ฉันหัวใจของฉันอบอุ่นเสมอ
เมื่อรถหยุดติดไฟแดงฉันจึงฉวยโอกาสที่ลู่จือสิงไม่ทันตั้งตัวชะโงกไปจูบที่แก้มของเขาอย่างรวดเร็ว
ทว่าก่อนที่ฉันจะถอนจูบ ลู่จือสิงก็เอื้อมมือมารั้งฉันไว้และจุมพิตลงมาอย่างดูดดื่ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้