หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 68

ฉันผงะไปนิดหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าชวี่ชิงหนานจะมาอยู่ที่นี่

แต่ชวี่ชิงหนานตอบสนองไวกว่า เขามองฉันแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ซูยุ่น”

ไม่รู้ว่าทำไมลู่จือสิงที่อยู่ข้างๆ จึงมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาอีก “เลขาซู ช่วยชงกาแฟมาให้ฉันสองแก้ว”

ฉันไม่คุ้นที่ลู่จือสิงเรียกฉันด้วยชื่อนี้ จึงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งโดยไม่ขยับไปไหน

จนสีหน้าของลู่จือสิงเคร่งขรึมขึ้น “เลขาซู คุณยังยืนนิ่งทำไมอยู่อีก!”

พอฉันรู้ตัวจึงรีบออกไปชงกาแฟมาให้เขาทันที

“กาแฟค่ะ ประธานลู่ คุณชวี่”

ในขณะนั้นฉันยังปรับตัวในฐานะเลขาของลู่จือสิงไม่ได้และรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

“อืม ออกไปก่อน”

ลู่จือสิงโบกมือให้ฉันอย่างไม่ใส่ใจ ฉันเหลือบมองเขานิดหนึ่ง รู้สึกว่าท่าทางของเขาดูผิดปกติ แต่พอเห็นว่าพวกเขาต้องการคุยธุระกันฉันจึงหันหลังเดินออกมาเพราะรู้ดีว่าไม่ควรอยู่รบกวน

“คุณหญิงลู่ หลังจากนี้เวลาอยู่ที่บริษัทผมจะเรียกคุณว่าเลขาซูนะครับ”

ทันทีที่ฉันออกไป หลี่จื้อก็แจ้งสิ่งที่คิดไว้ให้ฉันทราบ

ฉันเองก็ไม่อยากทำตัวโจ่งแจ้งในบริษัท ทว่าที่หลี่จื้อเรียกฉันว่า “คุณหญิงลู่” นั้นเป็นอะไรที่โจ่งแจ้งมาก

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อยู่ในบริษัทควรทำอะไรเงียบๆ ไว้จะดีกว่า”

เขายิ้มเล็กน้อย “คุณเรียกผมว่าเลขาหลี่นะครับ พวกเขาเรียกผมกันแบบนี้... ส่วนนี่คือกำหนดการของประธานลู่ในสัปดาห์นี้ เลขาซูลองดูครับ หลังจากนี้ผมจะให้คุณเป็นคนรับผิดชอบกำหนดการของเขา”

ฉันพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “รบกวนคุณด้วยนะคะ”

ฉันไม่ได้เรียนจบสาขานี้มาจึงมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่เลขานุการอย่างจำกัด ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก เพียงแค่สิ่งที่หลี่จื้อบอกเมื่อเช้านี้ฉันทำความเข้าใจได้ไม่หมดเลย ฉะนั้นฉันจึงใช้โอกาสตอนที่ลู่จือสิงกำลังรับแขกรีบนำข้อมูลออกมาศึกษาและทำความคุ้นเคย

ขณะที่กำลังอ่านข้อมูลอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีคนมาเคาะโต๊ะ

เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับดวงตาที่ยิ้มแย้มของชวี่ชิงหนาน แต่พอนึกถึงเรื่องที่ลาออก ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “คุณชวี่”

เขายิ้มนิดหนึ่ง “ผมรู้ว่าคุณต้องมาทำงานที่เฟิงเหิง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”

ฉันยิ้มแห้งๆ “ฉันไม่เคยทำงานเลขามาก่อน เลยต้องใช้เวลาเรียนรู้อยู่บ้าง ดังนั้นยิ่งเริ่มงานเร็วเท่าไรยิ่งดี”

“คุณเป็นคนมีความสามารถ ผมเชื่อว่าคุณทำได้แน่ ซูยุ่น!”

ชวี่ชิงหนานยอมรับในตัวฉันเสมอ แต่พอถูกเขาชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้ฉันก็รู้สึกเขินขึ้นมาหน่อยๆ “ฉันไม่ได้เก่งอะไรหรอกค่ะ เลยอาศัยว่าต้องขยันกว่าคนอื่น”

เขายิ้มและดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อยู่ๆ ลู่จือสิงก็เรียกให้ฉันเข้าไปหา “เลขาซู เข้ามานี่หน่อย!”

ฉันไม่มีทางเลือกจึงได้แต่มองเขาอย่างขอโทษขอโพย “คุณชวี่ ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

เขาพยักหน้าให้ “ตามสบายครับ ไว้มีเวลาค่อยไปทานข้าวกันสักมื้อ”

“ตอนนี้ซูยุ่นยุ่งมาก คงไม่มีเวลาหรอกครับ ถ้าประธานชวี่อยากหาคนไปทานข้าวด้วย เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน”

ไม่รู้ว่าลู่จือสิงออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายื่นมือมาโอบฉันไว้ขณะมองไปที่ชวี่ชิงหนานอย่างเอาเรื่อง

ฉันเขินหน่อยๆ จึงพยายามผละออกมา

ลู่จือสิงก้มหน้ามองฉันเป็นการเตือน และจู่ๆ ก็เอื้อมมือมากดลงที่คอของฉัน ฉันรู้สึกเจ็บจนต้องดึงมือของเขาออกโดยทันทีและมองไปทางชวี่ชิงหนานอย่างกระดากเล็กน้อย “คุณชวี่ ประธานลู่ชอบพูดเล่นน่ะค่ะ ฉันยังพอมีเวลาอยู่บ้าง คงเป็นเกียรติมากถ้าได้ร่วมรับประทานอาหารกับท่านประธานชวี่”

ชวี่ชิงหนานมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ นิดหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มเหมือนเดิมแทบจะทันที “ไม่เป็นไรครับ ประธานลู่เป็นคนอารมณ์ขันดี แต่ในเมื่อคุณสองคนกำลังยุ่ง ผมคงไม่รบกวนดีกว่า ผมไปก่อนนะครับ ซูยุ่น ประธานลู่”

ลู่จือสิงทำเสียงฮึขึ้นมา ฉันกลัวว่าชวี่ชิงหนานจะได้ยินจึงตีเขาไปหนึ่งทีก่อนจะลดเสียงลงถามเขาว่า “คุณทำอะไรน่ะลู่จือสิง”

เขาก้มหน้ามองฉันก่อนจะดึงฉันเข้าไปในห้องทำงานแล้วใช้เท้าดันประตูปิด จากนั้นจึงดันฉันไปติดฝาพนังข้างๆ ประตู บีบคางฉันให้เชยขึ้นมามองเขา “ซูยุ่น เธอนี่ชักจะกล้าขึ้นทุกทีแล้วนะ!”

ฉันไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ประธานลู่ ฉันไปทำอะไรคุณถึงคิดแบบนี้น่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้